[WF contest] love station สถานีส่งเธอ ป่วนภารกิจรัก - [WF contest] love station สถานีส่งเธอ ป่วนภารกิจรัก นิยาย [WF contest] love station สถานีส่งเธอ ป่วนภารกิจรัก : Dek-D.com - Writer

    [WF contest] love station สถานีส่งเธอ ป่วนภารกิจรัก

    การที่คนสองคนจะรักกันได้มันเกิดจากพรมลิขิตหรือมีใครคอยกำหนดควบคุมดูแลเรื่องนี้อยู่หรือเปล่า ความรักคืออะไรมีใครพอตอบคำถามนี้ให้ชัดเจนได้บ้าง ใช่เกมๆหนึ่งไหมที่เดิมพันด้วยความรู้สึกของคน

    ผู้เข้าชมรวม

    77

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    3

    ผู้เข้าชมรวม


    77

    ความคิดเห็น


    0

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  แฟนตาซี
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  10 ม.ค. 58 / 22:56 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    จะว่าไปความรักอาจเปรียบด้วยการเดินทางกับรถไฟ ที่รถแล่นผ่านไปเรื่อยๆสถานีต่างๆ หากมันไม่ใช่เราก็คงไม่ลง

    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      # ปิดเทอมหน้าร้อน

                      การที่คนสองคนจะรักกันได้มันเกิดจากพรมลิขิตหรือมีใครคอยกำหนดควบคุมดูแลเรื่องนี้อยู่ ความรักคืออะไรมีใครพอตอบคำถามนี้ให้ชัดเจนได้บ้าง ใช่เกมๆหนึ่งไหมที่เดิมพันด้วยความรู้สึกของคน ต้องพยายามทุกวิธีทางเพื่อที่จะชนะในการแข่งขันนั่นๆ ผู้ชนะได้ความรักไว้ครอบครอง ส่วนผู้แพ้อาจต้องเจ็บ GAME OVER  เชื่อว่าหลายคนมีคนที่แอบชอบอยู่ในใจ เพียงแต่ปลายทางความรักของคนที่แอบชอบใครคนหนึ่งนั้นจะสมหวังหรือไม่สมหวังก็ขึ้นอยู่กับคนอีกคน เขาจะยอมรับเราหรือไม่ก็เท่านั้นเอง  ... เมื่อเขาไม่ได้รักเรา เราก็ไม่มีสิทธิ์ไปโกรธอะไรเขาได้ เพราะเขาก็มีสิทธิ์ของเขาที่จะรักหรือไม่รักใคร “ดูเป็นนางเอกจัง ง่ายๆคือ ฉันอกหัก ชิมิ”  T^T   ฮื่อออออ... 

                      ซันเดรียบ่นพึมพำนอนร้องไห้อยู่บนเตียงพร้อมมือถือในมือของเธอที่ยังอยู่หน้าจอข้อความสนทนา ที่พึ่งถูกปฏิเสธความรักจากคนที่ตนแอบชอบมานานถึง 3 ปี น้ำตาที่ไหลออกมาสามารถช่วยคนเราให้หายจากความเจ็บปวดได้ไหมก็ไม่รู้แต่ทุกครั้งที่เราเสียใจหรือท้อ มันมักจะไหลออกมาโดยอัตโนมัติไม่ต้องมีระบบอะไรคอยสั่งการทั้งสิ้น

       

      จะว่าไปความรักอาจเปรียบด้วยการเดินทางกับรถไฟ ที่รถแล่นผ่านไปเรื่อยๆสถานีต่างๆ หากมันไม่ใช่เราก็จะไม่ลง

       

      แสงยามเช้าส่องผ่านกระจกใสของบานหน้าต่างห้อง กระทบเข้าตรงใบหน้าซันเดรียอย่างจัง แต่เธอไม่ได้สนใจใยดีที่จะลุกขึ้นจากเตียง เธอเพียงแต่งัวเงียหรี่ตาขึ้นเล็กน้อยแล้วเธอก็เอาผ้าห่มมาปิดหน้าไว้แล้วนอนต่อ

      ตลิ้นๆ ๆ ... เสียงไลน์ข้อความเข้าในมือถือเธอ ทำให้เธอต้องเอื้อมมือควานหามือถือหยิบขึ้นเปิดดู ปรากฏว่าเป็นไลน์จากแซม เพื่อนในเอก ซึ่งเธอคิดว่าน่าจะส่งผิดคน

      แซมเป็นเพื่อนที่เรียนอยู่เอกเดียวกัน ก็จริง แต่เขาทั้งสองแม้จะเรียนด้วยกันมาปีหนึ่งได้แล้วก็เป็นเพียงแค่คนที่รู้จักกันไม่ได้สนิทอะไรกันมากมาย เหมือนต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างมีกลุ่มเพื่อนของแต่ละคนไป

      “มีไรกินมั่งเนี่ย” ทุกๆเช้าซันเดรียต้องเข้าครัวหาอะไรกินเอง อาหารเช้าเมนูประจำคงไม่พ้นแซนวิดขนมปังกับนมร้อนๆแก้วหนึ่ง หรือไม่ถ้าขยันหน่อยก็ข้าวไข่เจียวหรือบางทีก็มาม่าผัดแต่เช้า

      เธอกัดแซนวิดคำนึงแล้วคาบมันไว้กับปากพร้อมมือข้างหนึ่งถือแก้วนมไว้อีกข้างก็เปิดตู้เย็นหยิบส้ม แล้วเดินตรงมายังห้องทีวี เช้าๆแบบนี้สิ่งเดียวที่ไม่พลาดคือการ์ตูน แต่อันที่จริง เช้า เที่ยง บ่าย เย็น จนค่ำ หากไม่มีใครมาแย่งเปลี่ยนช่องไปซะก่อน เธอก็จะนั่งดูการ์ตูนมันทั้งวัน ไม่ว่าการ์ตูนเด็กหรือผู้ใหญ่เธอจะไม่เลือกดู ดูหมด จะว่าบ้าการ์ตูน ติดมันยิ่งกว่าคนติดเกมก็ว่าได้

       

      ห้องดูทีวีที่ขนาดไม่ใหญ่มากนัก ซันเดรียนอนดูละครหลังข่าวกับครอบครัว ตัวเล็กประจำบ้านก็นั่งเล่นรถถังไปข้างโซฟาระหว่างการนอนดูทีวีมือก็ไม่วายที่จะหยิบมือถือเปิดเฟสแต่ก็ได้แค่เลื่อนหน้าจอ ขึ้น – ลง ถึงแม้มีเพื่อนที่สามารถจะคุยได้เป็นพันๆคน แต่เมื่อคนที่อยากคุยด้วย คุยกันประจำทุกวันกลับคุยกันไม่ได้แล้ว ความรู้สึกของเธอตอนนี้รู้สึกว่าโลกออนไลน์ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก

      ตลิ้นๆ ๆ ... เกรส่งลิ้งค์วิดิโอมาให้ดู เป็นคลิปเต้นของสาวน่ารักๆดูแล้วอดอมยิ้มไม่ได้ แต่ยิ้มได้ไม่นานความเศร้าก็มาปกคลุมเช่นเดิม

      ระหว่างที่ซันเดรียเปิด – ปิด จอแชทสนทนา เธอเห็นจุดสีเขียวของแซมออนขึ้นมาอยู่ถัดลงมาจากวิน ในตอนนี้ไม่รู้ทำไมถึงได้เกิดอยากทักทายแซมขึ้นมา เธอคิดเพียงว่าบางทีคนที่ไม่ค่อยสนิทกันหากได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น อาจเป็นคนที่คุยกันถูกคอก็เป็นได้ 

      เธอได้ส่งลิ้งค์วิดิโอที่เกรส่งมาให้ ส่งต่อให้แซมดู ส่งไปได้ไม่นานข้อความก็ขึ้นอ่าน

      “อะไร” คำสั้นๆ สนทนาแรกของแซมที่ตอบกลับมา

      “เปิดดูซิค่ะ ^ _ ^ 

      “ใครจะไปรู้ นึกว่าไวรัส วันหลังก็พิมพ์ข้อความอะไรมาก่อนส่งลิงค์ดิ”

                      หลังจากวันนั้นแม้แซมจะตอบกลับการสนทนาเพียงสั้นๆแต่ก็ไม่รู้เพราะเหตุใด ซันเดรียจึงชอบทักเขาได้ทุกวัน เวลาได้คุยกับแซมมันทำให้เธอรู้สึกลืมวินคนรักเก่าของเขาได้

       

      เมื่อการทำหน้าที่เป็นแจ๋วทำความสะอาดบ้านตัวเองเสร็จเรียบร้อย ซันเดรียก็เข้าห้องตรงไปยังเตียงที่แสนนุ่มของเธอทิ้งตัวลงอย่างเหนื่อยล้า กางแขนทั้งสองข้างออกหลับตาลง แล้วมือข้างหนึ่งก็ควานหาโทรศัพท์มือถือหยิบขึ้นมาดู ว่ามีใครทักทายอะไรเธอบ้าง เธอนึกผิดหวังเล็กน้อยที่วินพึ่งออฟไลนไปไม่กี่นาทีก่อนหน้า

                      “ช่างเถอะถึงยังไง เราก็คุยกับเขาไม่ได้แล้ว”

      เปิดดูการแจ้งเตือนซันเดรียถึงกับตกใจ ไม่อยากเชื่อสายตาตัวเองที่แซมจะมาคอมเมนต์ให้เธอ เพราะปกติเขาไม่ค่อยกดถูกใจและคอมเมนต์ให้ใคร เฮ้ย...รูปนี้รุ่นเดอะแล้วมั้ย กล้าลงเนอะ

      แหม่...ซันเดรียรู้สึกไม่ค่อยแน่ใจว่าเธอควรจะดีใจหรือเสียใจดี เพราะเจอคอมเมนต์แรกก็ทำแสบซะแล้ว เห็นทีเธอต้องจัดการสักหน่อย จึงนึกอยากจะเอาคืนเล็กน้อย เธอจึงตัดสินใจขึ้นสเตตัส(สถานะ)ของเธอว่า

       เห็นขี้เล่นแบบนี้ บางครั้งก็รู้สึกน่ะ แรงไปไหนกับ @แซม ดาร์กเดล

      “เล่นกับใครไม่เล่น มาเล่นกับฉันต้องขึ้นหน้าสาธารณะติดแท็กชื่อให้โลกรับรู้เท่านั้น”  เมื่อโพสขึ้นผ่านไปไม่กี่นาที      คอมเมนต์แรกที่ขึ้นมา บรรลุตามแผนไป 70%  เพิ่มจำนวนเปอร์เซ็นต์ขึ้นมาเรื่อยๆ เหมือนจะใกล้ครบร้อย เธอจึงตัดสินใจบอกความจริงไป คิดว่าแกล้งคนนานไปก็คงไม่ดี

      ซันเดรีย : เชื่อจริงเหรอนิว่าฉันโกรธ

      แซม : ขอโทษด้วยคิดว่าหยอกเล่นกันได้

      ซันเดรีย : ไม่ได้โกรธที แค่แกล้งกลับถือว่าหายกัน โอเคนะ ^ ^  เราไม่ใช่คนที่จะโกรธใครง่ายขนาดนั้น                            ชิวๆว่าไรก็ได้ตาม บาย

      แซม : งั้นหากเรียกยายอะไรแบบนี้ก็ไม่โกรธใช่ไหม

      ซันเดรีย : แน่นอนเธอเรียกยายเราก็จะเรียกทวด ฮ่าๆๆ  ok  ตามนั่น

        ไม่รู้ด้วยเหตุผลใด แต่ซันเดรียรู้สึกมีความสุขมากหลังจากได้คุยกับแซมไป

       

                      หลายวันผ่านไป “ทำไมไม่อ่านสักทีนะ” ข้อความที่ส่งไปรอการตอบกลับจากปลายทาง แต่ดูเหมือนจะไร้วี่แวว ซันเดรียเกิดอาการเซ็งอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่เพื่อนเธอก็ออนไลน์กันหลายคนทำไมเธอถึงได้อยากคุยแค่กับแซมคนเดียว

                      “ทำไมมันรู้สึกเหมือนตอนที่ได้คุยกับวินนะ ไม่หรอกมั้ง คิดมากน่ะเรา”

                      ห้าว...

                      ไม่ตอบก็ไม่ตอบซิ ง่วงแล้วก็นอนละกันพรุ่งนี้เปิดเทอมวันแรกด้วย ซันเดรียบ่นเบาๆกับตัวเอง แล้วเธอก็ปิด Notebook ทิ้งตัวลงเตียงปุบ หลับปั๊ป

       

                      เปิดเทอมครั้งนี้ทุกคนต่างเปลี่ยนแปลงตัวเอง ดูดีขึ้นเป็นกอง สวยขึ้นหล่อขึ้นกันทุกคน ที่สำคัญอายุก็แก่เพิ่มไปอีกปี น่าจะเพิ่มความเป็นผู้ใหญ่เพิ่มความรับผิดชอบขึ้น แต่ตึกคณะ ห้องเรียนก็ยังคงเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงอาจารย์ วิชาที่เปิดสอน วิชาที่ต้องเรียนก็ยังคงซ้ำๆเดิมๆรันตามโปรแกรมหลักสูตรที่ได้กำหนดไว้แล้วรุ่นพี่ปีก่อนเรียนอะไรแบบไหนมาบ้าง ปีนี้ อาจารย์ก็ยังคงมอบหมายงานเหมือนเดิมไม่ผิดเพี้ยนไปสักนิด

                      ห้องสี่เหลี่ยมสามารถจุคนได้ร้อยคนที่มีเก้าอี้สีสันหลากสี เป็นห้องแรกของวันนี้ที่ต้องเรียน ซันเดรียนั่งอยู่ก่อน พอแซมเดินผ่าน เธอเลยเอ่ยทักทายอย่างคนสนิท

      “เดี๋ยวนี้ไม่ทักทายกันเลยนะ”

      “ฮ่ะ” แซมหันมาหาต้นเสียงพร้อมเอ่ยตอบสั้นๆด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

      “ทักไปไม่ตอบ หยิ่งนะเรา”

      “จริงดิ ทักดึกไปไหมสงสัยนอนแล้วเลยไม่ได้อ่าน”

       

      เรียนยิ่งสูง ยิ่งยาก งานยิ่งเยอะ คงเป็นเรื่องปกติ สเตตัสตามโลกโซเชียลคงไม่พ้น คำเพ้อต่างๆถึงคนรักของตัวเองหรือคนที่กำลังแอบรัก และการบ่นถึงครูอาจารย์ของเด็กนักเรียน นักศึกษาในเรื่องของการเรียน การให้การบ้าน

      เที่ยงวัน หรือมื้อกลางวันของทุกวันสำหรับเพื่อนในแก็งซันเดรีย จะเป็นมื้อแรกที่ได้กินข้าวเนื่องจากอาหารเช้ามักไม่ค่อยจะได้กินด้วยเหตุผลหลายๆประการด้วยกัน ระหว่างนั่งกินข้าวที่โรงอาหาร เพื่อสร้างรสชาติในการกินอาหาร คงไม่พ้นจับประเด็นโม้แหลกกันภายในกลุ่ม คนที่เปิดประเด็นคงไม่พ้นคนที่ขี้บ่นอย่างซันเดรีย

      เมื่อเพื่อนที่เดินถือจานกับน้ำมานั่งที่เรียบร้อย ซันเดรัยก็เริ่มเปิดประเด็นคุย พร้อมทำหน้าจริงจังเอามาก ยิ่งกว่าวาระประชุมกันในสภาซะอีก  “ให้ตายซิ แค่วันจันทร์วันเดียวก็ได้รับงานมาตั้งห้าชิ้น”

      “ใช่ๆ แล้วอีกสี่วันที่เหลือละ” เบลเสริมด้วย

      “ถ้าได้วันละห้าชิ้น คงเทพเลยพวกเรา ทำงานกันยิ่งกว่าพนักงานบริษัทอีก”

       ครั้งถึงกิจกรรมของมหาลัยที่ถูกจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ด้วยความที่ซันเดรียได้คุยกับแซมมาสักระยะหนึ่งได้แล้ว เธอจึงคิดว่าคงไม่เป็นไรถ้าเขาจะหยอกเล่นแรงไปนิด ไหนๆก็สนิทกันแล้ว แต่ในขณะเดียวกันดูเหมือนแซมจะไม่ปลื้มเท่าไหร่นัก

      “เล่นงี้เลยเหรอ” แซมเอ่ยขึ้น

      “เฮ้ย...โกรธจริงดิ อย่ามาอำกันซิ แค่ล้อเล่นเอง”

      ขณะที่แซมกับซันเดรียเหมือนจะยังเคลียกันไม่จบเสียงหนึ่งก็เรียกมาแต่ไกลให้ทุกคนไปรวมตัว

      “เร็วๆๆ แดดร้อนมากแล้ว มาถ่ายรูปกันพวกเรา รีบๆกันหน่อยครับ คนที่นั่งๆก็ลุกขึ้นมาได้แล้วเพื่อนร้อนครับผม”

      แซมยืนถ่ายรูปคนละฝั่งกับซันเดรียพอถ่ายเสร็จก็ต่างแยกย้ายกันไป ซันเดรียจะเดินไปคุยบอกขอโทษแซมที่ดูท่าจะไม่ค่อยดี แต่เพื่อนเธอกลับลากเธอไปซะก่อน

      “เดีย ไปหาไรกินกันเถอะ นะๆๆ ไปกินด้วยกันนะ” ราเฟียดึงเธอลากขึ้นรถไป ในขณะที่เธอยังไม่ละสายตาจากแซมจนเห็นเขาขับรถออกไปโดยไม่สนใจจะมองกลับมา ซันเดรียจึงได้แต่รู้สึกผิดมากที่ไปหยอกเล่นแรงแบบนั่นกับแซม

       

      ร้านขายน้ำที่เดิมที่ประจำ ระหว่างรออาหารมาเสิร์ฟ ทุกคนนั่งคุยกันเรื่องทั่วไปอย่างสนุกสนาน ยกเว้นซันเดรียที่ยังติดใจเรืองแซมไม่หาย สีหน้าเธอดูกังวลอย่างบอกไม่ถูก

      “เฮ้ย...ถามจริงดิ ฉันพูดไปแบบนั้น พวกเธอคิดว่าที่แซมพูดไปมันพูดจริงหรือพูดเล่นอ่า”

      เบลเอ่ย “แซมเขาคงไม่ได้จริงจังอะไรขนาดนั้นหรอกเล่นๆแหละมั้ง ป้าก็คิดมากไป”

      “แต่ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีเลยอ่า ไม่น่าไปว่าเขาแบบนั้นเลย” ราเฟียเอ่ยต่อ “แคร์เขามากไปไหมเดีย”

      “เปล่านี่ ก็เพื่อนกันไง ถ้าฉันไปทำใครแล้วเกิดโกรธกันขึ้นมา ฉันก็แคร์มันทุกคนแหละ” ซันเดรียตอบด้วยใบหน้าที่เขินนิดๆไม่กล้าจ้องตาเพื่อน แต่ยังไงก็แล้วแต่เธอก็รู้สึกผิดมากจริงๆ รู้สึกว่าเธอแคร์ความรู้สึกของแซม ถ้าเขาโกรธเธอขึ้นมาจริงๆไม่ได้ล้อเล่นเธอจะทำยังไง

       

                      ทันทีที่กลับถึงห้องยังไม่ทันจะได้เปลี่ยนเสื้อเปลี่ยนชุดอะไรเธอก็วิ่งตรงไปที่โน๊ตบุ๊ค โยนกระเป๋าหล่นไปข้างเตียงก็ช่างมันปะไร เปิดแชทสนทนา กดตรงไปที่ข้อความของแซม

      “ขอโทษนะ ไม่ได้ตั้งใจ”  อ่านที อ่านที อ่านที ซันเดรียได้แต่หลับตาภาวนาขอให้แซมอ่านแล้วตอบกลับมาไวไว

      “อืม ไม่เป็นไร”

       เยส ตอบกลับมาแล้ว เธอยิ้มร่าปากฉีกกว้างเหมือนจะยัดจานดาวเทียมเข้าปากยังได้ และดิ้นไปดิ้นมาอยู่บนเตียง ดีใจยิ่งกว่าคนถูกรางวัลที่หนึ่งซะอีก ตั้งสติได้เธอก็พิมพ์ต่ออย่างอารมณ์ดี “หายโกรธน่ะ”

      “อืม”

      .

      .

      “ฝันดี บาย”

      “บาย”

       สิ้นการสนทนาหน้าจอโน๊ตบุ้คก็ถูกพับลง นี้ก็เป็นเวลาห้าทุ่มกว่าแล้วควรแก่การนอนที่สุด มือขวาเธอยื่นไปปิดโคมไฟข้างหัวเตียง จากนั้นเธอหยิบมือถือขึ้นมาตั้งเวลานาฬิกาปลุก กันตื่นสายไปเรียน เมื่อจัดแจงทุกอย่างเรียบร้อยตาก็ปิดอย่างเร็วและหลับไปในทันที

       

      เกมรัก...แดนมหัศจรรย์  นิยายป่ะเนี่ย ดูน่าอ่านจัง ซันเดรียหยิบมันลงมาจากชั้นวางหนังสือ เธอดูสนใจเล่มนี้เอามาก แค่ภายนอกเล่มยังดึงดูดความสนใจเธอมากขนาดนี้แล้วด้านในล่ะ มันคงอ่านสนุกมากแน่ๆ ซันเดรียคิดเช่นนั่น

                      แต่เธอต้องผิดหวังกับมันอย่างยิ่ง อะไรกัน หนังสือเล่มหนาที่ผูกด้วยเชือกอย่างดี ดูน่าอ่านน่าค้นหา แต่ทำไมภายในเล่มกลับว่างเปล่ายังกับหนังสือเวทมนต์ในหนังที่ต้องเป็นเจ้าของมันเท่านั้นที่อ่านได้

                      “สนใจเหรอหนู” ตาเฒ่าเจ้าของร้านเดินมาถามพร้อมส่งยิ้มให้ แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้เอ่ยถามตาเฒ่าคนนั้นกลับหายไป     ซันเดรียจึงวางมันกลับที่เดิม นึกแปลกใจ ยืนงงอยู่เล็กน้อยตาแก่เฒ่าหนวดยาวหายไปไหน ทำไมเร็วจัง พอเธอหันหลังก้าวเดินเพียงสองก้าวจากชั้นวาง เสียงหนึ่งก็ดังแว่วมา

                      “เอ๊ะ! ... เสียงมาจากไหน ใครพูดอ่ะ” ซันเดรียหันซ้ายขวาไร้วี่แววผู้คน  จึงหันกลับเดินหน้าต่อ เดินไปใกล้ถึงประตูหน้าร้าน มือขวาเธอกำลังจะยื่นออกไปพลักบานประตูร้าน

                      อ้ากกก <<<

      เธอถูกจับขาไว้ทั้งสองข้างแล้วดึงลากไปเรื่อยๆตัวเธอจึงล้มกับพื้นไม่เป็นท่า ซันเดรียร้องตะโกนลั่นสุดเสียงพร้อมมือทั้งสองข้างของเธอที่ปิดตาไว้ไม่กล้ามองสิ่งที่จับขาเธอว่าเป็นตัวอะไรกัน ที่แน่ๆรู้สึกได้ว่าคล้ายมือมนุษย์แน่นอน อาจเป็นมือตาเฒ่าแก่เจ้าของร้านที่หายตัวไปเมื่อกี้ ตาเฒ่าคนนั้นต้องเป็นผี เป็นผีแน่ๆ ซันเดรียคิดในใจ

      ตุ๊บ!!!

      “โอ้ยย...เจ็บ” เสียงร้องผสานกับมือที่จับก้นไว้แล้วลูบเบาๆเพราะเจ็บจากการถูกกระแทกเข้าอย่างแรงกับพื้นกระเบื้อง แต่เธอก็ยังคงปิดตาไม่ยอมลืมตาขึ้นมา

      “ยัยแม่มด ตื่นๆๆๆๆๆๆๆ แบร่ๆๆๆๆๆ” น้องชายสุดแสบยืนแลบลิ้นพร้อมหัวเราะดังอยู่ตรงหน้าเธออย่างสะใจ

      เมื่อลืมตาขึ้นมาดูปรากฏว่าไอ้ผีที่ลากขาเธอเมื่อกี้คือน้องชายตัวแสบของเธอ ที่ลากเธอลงมาจากเตียง ทำให้เธอได้หลุดออกจากวงโคจรฝันประหลาด แม้ตัวจะยังเล็กแค่ 5 ขวบ แต่แรงของน้องชายตัวเล็กนั่นกลับเยอะผิดมนุษย์ทั่วไป

      “ตัวเล็ก แก แกอีกแล้วอ่อ แต่เช้าเลยนะ ไปกินช้างมาหรือไงถึงได้มีแรงเยอะขนาดนี้ ไอ้เด็กบ้าเอ้ย...”

       

      หลังจากวันนั้นแซมไม่ได้หยอกเล่นซันเดรียเช่นเคย ทำให้เธอต้องกลับมาคิดกระวนกระวายใจ ว่าที่แซมบอกอภัยให้แล้วนั่นจริงไหม เวลาเดินผ่าน เธอก็ไม่กล้าทักทายแซมเช่นเคย กลัวว่ายังไม่หายโกรธจริง

       ครั้งเจอตอนจะส่งงาน เธอเห็นแซมอยู่หน้าห้องอาจารย์ดีๆแต่เมื่อแซมหันมามองเธอที่กำลังจะเดินไปส่งงานห้องนั่นเหมือนกัน แซมกลับเดินเข้าไปอีกห้องหนึ่ง เธอจึงคิดว่าแซมหลบหน้าเธออยู่แน่ๆไม่อยากเจอเธอไม่อยากคุยกับเธอ

      จนเวลาผ่านไปอาทิตย์หนึ่งซันเดรียทนความอึดอัดไม่ไหว เธอนั่งกดเปิด – ปิด หน้าจอแชทของแซมอยู่นาน คิดแล้วก็คิดอีกว่าจะทักไปดีไหม จะทักไปว่าอะไรเริ่มต้นยังไงดี จนในที่สุดเธอก็ตัดสินใจพิมพ์มัน

      “แซม ยังโกรธฉันอีกไหม ขอโทษด้วยนะไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” หลังจากข้อความได้ถูงส่งไป คนส่งก็ตั้งตารอการอ่านและตอบกลับจากปลายทาง แล้วก็ไม่นานเกินรอคำตอบเพียงสั้นๆก็ตอบกลับมา “เปล่า”

                      “แล้วทำไมเวลาเจอกันไม่ทักทายกันเลย ไม่ยิ้มให้กัน”

                      “ถ้าบอกไปว่าไม่โกรธ คือ ไม่โกรธ หายแล้วจริงๆ - -                  

                      “^-^

       

      เวลายิ่งนานไปเรื่องของวินก็ค่อยๆเลื่อนหายไปจากความคิดของซันเดรีย เธอเริ่มมองเห็นผลงานของแซมแต่ละชิ้นที่เขาได้ทำช่างสวยงามนัก วันๆมีแต่เรื่องของแซมลอยเข้ามาในสมอง เธอจึงได้ตัดสินใจเป็นแฟนคลับเขา มันคงตลกไม่ใช่น้อยที่อยู่ดีๆจากเพื่อนกลายเป็นแฟนคลับ ดูเหมือนตอนแรกแซมเกิดอาการงงไม่ใช่น้อยที่อยู่ๆมีเพื่อนมาเรียกตัวเขาว่าไอดอล

                      การที่แซมเป็นไอดอลของซันเดรีย มันทำให้เธอชอบให้แซมคอยช่วยดูและสอนงานเธอเป็นประจำ ซึ่งเธอคิดว่าอาจสร้างความรำคาญเพิ่มขึ้นให้แซม แต่เธอก็ยังทำ

                       “ไม่ใช่อาจารย์จะได้แนะนำ - -” คำตอบที่ได้รับมันช่างดูน่าผิดหวังเล็กน้อย เหมือนคนไม่เต็มใจจะสอนเธอ แต่เธอก็ยังพยามกัดฟัน ระงับอารมณ์ไว้ ห้ามโมโห ห้ามโกรธ

                      “ตั้งให้เป็นไอดอลแล้วทำหน้าที่หน่อยละกัน น่านะ...คนดี” ไม่รู้เหมือนกันว่า ไอดอลกับแฟนคลับคนอื่นๆเขาต้องทำหน้าที่อะไรกันอย่างไร จำเป็นไหมที่คนที่เป็นไอดอลต้องช่วยเหลือ FC (แฟนคลับ) แต่สำหรับซันเดรียแล้ว แซม เมื่อเธอได้แต่งตั้งเขาให้เป็นไอดอลแล้ว เขามีหน้าที่ต้องช่วยงานของเธอด้วย เธอเพียงรู้สึกพอใจมากหากได้คำแนะนำจากแซม  

       

      ลา ลา ลา ลั้น ลา ลาลา  วู้วว โววว โว้ว  โว...    

      ซันเดรียเหมือนจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษเพราะงานของเธอที่ได้ทำมาทั้งวันทั้งคืนใกล้จะเสร็จเรียบร้อย เธอร้องเพลงไปวาดละเลงสีไปอย่างสบายใจ หน้าเธอตอนนี้กำลังฟินสุดๆ แม้สภาพหน้าไม่ควรแก่การส่องกระจกเป็นอย่างยิ่งอาจตกใจถึงกับช็อก เพราะความอดหลับอดนอนทำให้สภาพหน้าโทรม

      เพราะฉันนั้น รู้สึกกับเธอมากไป...

      อยากเป็นคนนั้น คนที่เธอรักกันด้วยหัวใจ

      อยากเป็นคนนั้น คนที่เขาได้มีเธอข้างกาย...

      (เพลงอยากเป็นคนนั้น :  AB Normal)

                      งานในตอนนี้เกือบจะเสร็จสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เธอจึงแคปหน้าจอ (Prt Sc) แล้วส่งรูปที่แคปไว้ให้แซมดูเพื่อเพิ่มความมั่นใจในชิ้นงานที่ได้ทำ เธอคิดเพียงว่าหากแซมได้ดูอาจจะได้รับคำแนะนำดีๆทำให้งานของเธอดูสวย ดูดี

       ขึ้นกว่าเก่า

                      “งานชิ้นนี้เป็นไงมั้งอ่ะ โอยัง เหมือนยังไม่โอไงไม่รู้ ช่วยคิดหน่อยดิปรับตรงไหนอีกดี”

                      “วันนี้เหนื่อย ค่อยดูน่ะ”

                      กว่าแซมจะอ่านข้อความของเธอนั้น ก็ใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมงที่เธอต้องนั่งจ้องจอคอมฯแล้วคำตอบกลับสั้นๆจากแซม ทำให้ซันเดรียเกิดอาการไม่พอใจเป็นอย่างมาก ใบหน้าที่ยิ้มแย้มอารมณ์ดีดีตอนนี้ไปหมดแล้ว เธอคิดไปต่างๆนานา รู้สึกเหมือนแซมไม่อยากใส่ใจ ไม่สนใจ บางทีอาจรำคาญ หรือเบื่อที่ต้องคอยสอน เหนื่อยในการจู่จี้ที่คอยถามนั้นนี้โน้นนั้นไปซะทุกอย่าง เธอพิมพ์ต่อไปด้วยน้ำตาที่คลอเบ้าพร้อมจะไหลลงอาบแก้มได้ทุกเมื่อ

                      “ดูแปปเดียวไม่ได้หร่อ”

                      ข้อความขึ้นอ่านแล้ว แต่แซมก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา ซันเดรียมองจอแชทสลับกับหน้าปัดนาฬิกา  เข็มนาฬิกาก็คงทำหน้าที่เดินวนไปเรื่อยๆของมัน  แม้เวลาจะผ่านไปแค่สิบนาที แต่เธอก็รู้สึกว่ามันนานมากสำหรับการรอใครสักคนที่เธอแคร์ตอบข้อความกลับมา  เมื่อรอไม่ไหวจึงตัดสินใจประชดระเบิดใส่แซมทันที

                      “นี้ไม่ช่วยใช่ไหม ไม่อยากช่วยก็บอกมาตรงๆเหอะ ชิ!!

                      “ - -“ คนเรามันก็ต้องมีเหนื่อยอะไรกันบ้าง เข้าใจกันมั้งดิ นอนแล้วนะง่วงมาก”

                      “ไม่เข้าใจ ไม่สน ไปไหนก็ไปเลย โป้ง ไม่คุยด้วยแล้ว”

                      “เฮ้อออ...”

                      อ่านข้อความเสร็จซันเดรียก็ปิดแชทสนทนา ปิดโน้ตบุค ล้มตัวนอนปิดโคมไฟ แล้วเอาผ้าห่มมาคลุมโปง สักพักเธอก็ดึงผ้าออกแล้วนั่งคิด นอนคิด นั่ง นอน นั่ง คิ้วขมวดครุ่นคิดกับพฤติกรรมแปลกๆของตัวเอง

                      บางครั้งผู้หญิงก็ชอบทำตัวงี่เง่าจริง ทำไมต้องหงุดหงิด ทำไมต้องอารมณ์เสีย แค่เขาคนนั้นไม่ว่างสอนเธอ คนอื่นก็มีให้ถามอีกเยอะทำไมไม่รู้จักถาม ก่อนหน้านี้ที่ไม่มีเขาเข้ามา เธอก็ไม่เห็นจำเป็นต้องพึ่งพาใคร เธอเป็นอะไร เปลี่ยนไปเหรอ...

      เครื่องหมายคำถามมากมายวิ่งวนอยู่บนหัว ซึ่งหาคำตอบไม่เจอและไม่รู้จะไปหาได้จากที่ไหน

       

      ซันเดรียลืมตาขึ้นมาพบว่าตัวเองนอนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ใหญ่มากจนถ้าใช้ผู้ใหญ่โอบกอดสักยี่สิบกว่าคนโอบไว้ถึงจะพอ กลางทุ่งหญ้ากว้างใหญ่มีลมพัดเบาๆพัดผ่านเย็นสบาย เธอได้ยินเสียงลำธาร น้ำตก คลื่นทะเล พร้อมกัน แต่ทั้งหมดไม่เห็นมีอะไรทั้งนั้น นอกจากทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา แล้วเสียงที่ได้ยิน ความรู้สึกที่ได้รับ ตกลงมันยังไงกัน มันมาจากไหน

                      “ทวดเฒ่า” ซันเดรียเอ่ยเบาๆนึกแปลกใจ เขามาทำอะไรในที่แห่งนี้ ที่นี้ที่ไหนกัน แม้จะมองจากไกลๆเพียงด้านหลัง แต่เธอก็จำแซมได้เป็นอย่างดี

      ในเมื่อที่นี้ไม่มีใครเธอจึงตะโกนดังสุดเสียงเพื่อเรียกแซม “ทวดเฒ่า ปีศาจเฒ่า”  แต่เขาไม่ได้หันกลับมามองเธอเลย เธอจึงวิ่งเข้าไปหา ยิ่งเธอวิ่งเข้าไปใกล้เหมือนยิ่งห่างไกลออกไป สุดท้ายแซมก็หายเข้าไปในหมอกควันหนาทึบสีขาวจนเธอต้องหยุดวิ่งต่อ หยุดอยู่แค่ตรงนั้นคนเดียว เดียวดายในที่ที่ไม่มีใครสักคน ไม่ว่าเธอจะมองไปทางไหนก็เห็นเพียงแต่ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่

                      สิ่งที่ผู้หญิงอ่อนแออย่างฉันทำได้คือ ฟุ้บนั่งอยู่กับที่ คิดอะไรไม่ออกก็ร้องให้ แค่นี้ใช่ไหม ที่ตัวฉันทำได้ ซันเดรียบ่นไปร้องไป ฟูมฟายอยู่คนเดียว

                      เธอสะอื้นดัง จนได้ยินไปถึงหูนาเดียเข้า จึงรีบเปิดประตูเข้ามาดูลูกด้วยความห่วงใยและตกใจ

                      “เดียลูก ตื่นซิ ตื่น” นาเดียพยายามปลุกลูกให้ตื่นจากฝันร้าย

                      “ตื่นซิลูก ลืมตาเร็ว แม่อยู่ตรงนี้แล้ว” เมื่อหล่อนพยายามเขย่าตัวซันเดรียสุดท้ายเธอก็ลืมตาขึ้นมา พร้อมโผเข้ากอดนาเดียทั้งน้ำตา แม้จะตื่นจากฝันแล้วเธอก็ยังคงสะอื้นไม่หาย

                      “แม่ หนูกลัว เขาทิ้งหนูไปแล้วหนูต้องอยู่คนเดียว หนูกลัวค่ะแม่”

                      “โอ๋...โอ๋...ไม่มีใครทิ้งหนูไปหรอก ก็แค่ฝันร้าย”

                      “ฝัน?

                      “ใช่จ๊ะ ฝัน แต่เอ่...ใครทิ้งลูกเดียของแม่เหรอจ๊ะ หนูถึงได้ร้องไห้ฟูมฟายขนาดนี้”

                  ฝัน...ฉันฝันไปหร่อเนี่ย

       เอ่อ...แล้วทวดเฒ่าหายไป แล้วไง ฉันร้องทำไมอ่ะ นาทีนี้งงค่ะ

                      “ว่าไง?

                      เมื่อเธอได้รวบรวมสติของเธอกลับมา

                      “เปล่า...เปล่าค่ะแม่” เธอหยิบทิชชู่ในลิ้นชั้กข้างหัวเตียงสั่งขี้มูก ปาดน้ำตา ตัวเอง แล้วมองนาฬิกา ถึงกับสะดุ้งสละผ้าห่มออกรีบวิ่งเข้าห้องน้ำเพราะมันสายมากแล้ว จึงทิ้งนาเดียให้นั่งงงอยู่ที่เตียงคนเดียว

       

      ถึงคราวต้องเจอหน้ากันที่ตึกคณะ ในห้องเรียนซันเดรียไม่ได้เอ่ยทักทายแซมเลย โดยปกติของแซมเองหากใครไม่ได้ชวนคุยก่อนเขาเองก็ไม่ค่อยได้สนใจจะตั้งวงโม้หรือเสวนากับใครอยู่แล้ว

       หากเวลาใดที่แซมและซันเดรียทะเลาะกันเพื่อนในห้องเรียนก็ไม่ค่อยจะเอะใจอะไรมากมายเพราะปกติเธอกับเขาก็ไม่ค่อยจะคุยเล่นกันเท่าไหร่ เขากับเธอเหมือนจะสนิทกันมากในโลกออนไลน์แต่ข้างนอกกลับดูเป็นแค่เพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งเท่านั้น

                      บางทีซันเดรียเองก็แปลกใจ แล้วตกลงความสัมพันธ์ของเขาทั้งสองคนเป็นยังไงกันแน่ แค่เพื่อนร่วมห้อง เพื่อนสนิท ไอดอล เอฟซี ที่รู้กันเพียงแค่สองคนหรือยังไง ทำไมมันช่างดูซับซ้อนยิ่งนัก

       

      “อ้าวยาย วันนี้ไม่พาไม้เท้ามาหร่อ เดินดีๆนะเดี๋ยวล้มเอา” หลังเลิกเรียน ออกจากห้องพ้นประตูไปนิด ไม่รู้อารมณ์ไหนของแซมเกิดอยากทักทายเธอขึ้นมา

                      “ยุ่ง” ซันเดรียตอบพร้อมหน้ามุ้ยแล้วรีบเดินลงบันไดไปอย่างเร็วโดยไม่สนใจที่จะรอเพื่อน

       

      …………………………………………………………………………………………………………………………………

       #คนรัก

       

                      กลับถึงบ้านเธอเห็นตัวเล็กนั่งแกล้งเจ้าปุยแมวอ้วนอย่างสนุก “ตัวเล็ก สงสารไอ้ปุยมันบ้างดิ แกนิมันซนจริง” พูดเสร็จเธอตบหัวน้องตัวแสบหนึ่งที แล้วเดินขึ้นบันไดตรงไปยังห้องของเธอ ปล่อยน้องนั่งงงต่อไป

      “ยัยแม่มดบ้าไปหงุดหงิดมาจากไหน สงสัยประจำเดือนไม่มา ฮ่าา..”

       เธอปิดประตูเสียงดัง  ปั้ง!!..                วางกระเป๋าไว้บนโต๊ะอ่านหนังสือ แล้วทิ้งตัวนอนลงบนเตียงพร้อมชุดนักศึกษา เอาหูฟังยัดใส่หูหลับตาแล้วเปิดเพลงดังๆ  หวังให้เลิกคิดเรื่องของแซม ที่ไหนได้ ยิ่งหลับตาภาพยิ่งชัดขึ้น เธอเห็นหน้าแซมชัดยิ่งกว่าระบบ HD ทำให้เธอต้องหงุดหงิด

      กรี๊ดออกมาดังโดยไม่ได้สนใจว่าคนข้างบ้านจะหาว่าเธอบ้าไหมหรือมีใครที่โดนจับปล้ำ โจรขึ้นบ้านหรือเปล่า

                      “ไอ้ปีศาจบ้า เมื่อไหร่สมองฉันจะเลิกคิดเรื่องบ้าบอไร้สาระของนายสักที” ซันเดรียดิ้นอยู่บนเตียงในห้องของเธอคนเดียวถีบทุกอย่างตกเตียงหมด ทั้งลุกนั่งและนอน สลับกันไปมา สุดท้ายเธอหยิบหมอนที่เป็นหน้าแซมที่เธอวาดเป็นตัวการ์ตูนตัวแทนของแซมขว้างไปไกล แล้วก็เดินไปหยิบมันมาปัดเช็ดใหม่อย่างทะนุถนอม

                      นึกคิดอยู่ว่าตอนนี้คนที่บ้า คงไม่ใช่ปีศาจเฒ่าแล้ว แต่เป็นเธอเองนี้แหละ

                      “ไอ้ปีศาจบ้า ทวดเฒ่าบ้า ไอ้โรคจิต” เธอด่าไปทุบหมอนไป

       

      ซันเดรียมองจอสนทนาเห็นจุดสีเขียวของแซมขึ้นออนไลน์อยู่นานเป็นชั่วโมงแล้ว  เธอได้แต่เปิดปิดๆหน้าจอเฟส รอเมื่อไหร่เขาจะทักมา สุดท้ายเวลาเลยเที่ยงคืนไปแล้วก็ไม่มีวี่แววการทักมา เธอจึงได้แต่นั่งบ่นอยู่กับหมอนจิ๋ว

                      ไอ้คนบ้า พอคนไม่ทักไปก็ไม่คิดจะทักมาก่อนเลยน่ะ คนมันงอลอยู่ ง้อหน่อยซิ ปีศาจเฒ่าบ้า ...ปีศาจเฒ่าบ้า...ปีศาจเฒ่าบ้า...ปีศาจเฒ่าบ้า...ปีศาจเฒ่าบ้า...ปีศาจเฒ่าบ้า...ปีศาจเฒ่าบ้า...ปีศาจเฒ่าบ้า...ปีศาจเฒ่าบ้า...ปีศาจเฒ่าบ้า...ปีศาจเฒ่าบ้า...ปีศาจเฒ่าบ้า...ปีศาจเฒ่าบ้า...ปีศาจเฒ่าบ้า...

                      สุดท้ายเธอก็ได้แต่โมโหคนเดียวจนหลับไปในที่สุด

       

      ซันเดรียเปิดจอสนทนาดูเวลาที่คุยกันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ปรากฏว่า เธอกับแซมไม่ได้คุยกันแค่ 2 วันเท่านั้นเอง แต่เธอกลับรู้สึกว่าไม่ได้คุยกันนานมากแล้วเป็นเดือน อะไรทำให้เธอคิดถึงแซมได้มากขนาดนี้ทั้งที่เวลาเรียนก็ได้เจอกันเกือบทุกวันจะมีก็แค่บางคาบบางวิชาที่ลงไม่เหมือนกัน

       “ทวดเฒ่า” สุดท้ายแล้วเธอก็ตัดสินใจพิมพ์ทักทายแซม ผ่านไปเกือบ 10 นาที เขาก็ตอบกลับเธอด้วยคำสั้นๆเช่นเคย

      “ฮืม” ซันเดรียได้อ่านข้อความที่เขาตอบกลับมามันทำให้หมดกำลังใจนักที่จะพิมพ์คุยต่อ เธอเลยเลือกที่จะเงียบไป

      เมื่อเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง เธอดูคู่สนทนาของเธอออฟไลน์ไป ยิ่งทำให้เธอคิดมากเข้าไปอีก คิดไปต่างๆนานา ว่าที่จริงแล้วมีแค่เธอเท่านั้นที่อยากคุยกับเขา ส่วนแซมนั้นอาจจะตอบกลับแค่เป็นมารยาทก็เท่านั้น ถ้าแซมอยากจะคุยกับเธอจริงเมื่อเธอเงียบหายไป แซมน่าจะเอ่ยถามสักนิดว่าเป็นอะไรยังไง แต่มันก็ไม่เคยมีโมเมนต์นี้

      ถึงคาบเรียนสุดหิน  แม้จะยังโกรธหรือโมโหยังไงแต่เธอก็อดห่วงไม่ได้เมื่อไม่เห็นแซมมาเรียน ปกติหากเขาจะมาสายแต่ก็ไม่น่าจะสายมากขนาดนี้ มันกินเวลาไปแล้วครึ่งชั่วโมง เธอจึงเปิดเฟสพิมพ์ข้อความส่งถึงแซม จะให้โทรหาเหมือนเพื่อนคนอื่นๆเธอก็ทำไม่ได้ เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา ซันเดรียและแซมไม่เคยแลกเบอร์กันเลย

      ทั้งสองคนติดต่อกันเฉพาะในเฟสบุ๊คเท่านั้น หากมีใครรู้เรื่องนี้คงตลกน่าดู ที่เพื่อนเรียนร่วมห้องทั้งคน สนิทกันพอสมควร ติดต่อกันทุกวัน แต่ไม่มีเบอร์มือถือของกันและกัน

      “เด็กบ้าอยู่ไหน ทำไมไม่มาเรียนอาจารย์เช็คขาดไปแล้วรู้ไหม มีงานในห้องด้วย”

      สักพักซันเดรียเห็นข้อความที่ส่งไปขึ้นอ่านแต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา

      “อย่าทำให้ต้องเป็นห่วงได้ไหม เป็นอะไรหรือเปล่า” ข้อความที่ได้ส่งไปแซมไม่ได้อ่านมันเลย ทำให้เธอยิ่งเป็นห่วง ทั้งห่วงทั้งโมโหปนกันไป เธอรู้สึกเลือกอารมณ์ไม่ถูก

      “เด็กบ้า รีบตอบกลับมาน่ะ ไม่งั้นนายตายแน่”

      1

      2ก็ยังคงเงียบไม่มีการอ่านตอบใดๆทั้งสิ้น

      3

      “โมโหแล้วนะ”

       

      เช้าวันนี้อาจารย์นัดสอบแบบด่วนๆ ซันเดรียอดไม่ได้ที่จะห่วงแซมไม่รู้ว่าเขาจะรู้เรื่องหรือยัง แต่เธอได้แต่คิดว่าเพื่อนในกลุ่มเขาน่าจะบอกแซมให้รู้เอง เพื่อนเขาก็คงไม่ทิ้งเขาหรอก

      ซันเดรียนั่งทำข้อสอบผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ด้วยความที่เธอนั่งสอบอยู่หลังห้องตรงกับประตูทางเข้าห้อง เธอยังไม่เห็นแซมเดินเข้ามา สายตาเลือบมองไปทั่วห้องกลับไม่เห็นเขามาสอบเลย แม้ตัวกำลังจะนั่งทำข้อสอบอยู่แต่ใจกลับว้าวุ่นกังวลไม่มีสมาธิในการสอบเลยสักนิด

      ไม่ว่าจะเป็นห่วงหรือกังวลถึงแซมมากแค่ไหนเธอก็จำเป็นต้องแยกเรื่องส่วนตัวออกจากเรื่องเรียนให้ได้ เลยต้องฝืนนั่งทำต่อไปจนแล้วเสร็จ

      สอบเสร็จซันเดรียกลับบ้านทันทีโดยไม่รอเพื่อนเธอออกจากห้องสอบก่อน เป็นเพราะใจที่ตอนนี้คิดอยู่เพียงเรื่องเดียวคือเรื่องของแซมที่กำลังวิ่งวนอยู่ในหัวตลอดเวลา

       

                      ระหว่างทางกลับบ้านซันเดรียได้สวนทางกับตาแก่เฒ่าคนหนึ่ง มีหนวดยาวสีขาวดูสะอาดไม่มีพิษภัยใดๆ แต่เธอกลับรู้สึกแปลกๆเหมือนเคยเจอกันมาก่อน พยายามนึกยังไงก็นึกไม่ออก จนในที่สุดเธอนึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องด่วนกว่านั่นที่เธอควรทำก่อนพยายามนึกเรื่องไร้สาระพวกนี้

      ถึงบ้านแล้วเธอรีบบึ่งขึ้นห้อง เปิดดูข้อความที่ส่งไปเมื่อวานเห็นแจ้งขึ้นว่าอ่านแล้วเมื่อไม่กี่นาที แต่ก็ไม่มีคำตอบกลับมาเช่นเคย ซันเดรียอดน้อยใจไม่ได้ คุ้มไหมกับการที่เธออุตส่าห์เป็นห่วงเขามากขนาดนั้น แต่เขากลับไม่เห็นค่าของเธอเลย เธอควรทำยังไงดี

      “ทำไมมันเจ็บอย่างบอกไม่ถูกแบบนี้น่ะ ฉันกำลังทำบ้าอะไรอยู่เนี่ย”

      น้ำตาคลอ ทั้งเจ็บทั้งเสียใจ เสียความรู้สึก ทำไมเธอต้องมามีอาการแบบนี้ ความตั้งใจแรกที่จะถามแซมคุยด้วยกันดีๆเมื่อความโมโหเข้าครอบงำ การสนทนาแรกที่ทักทายออกไปเลยไม่ค่อยสวยงามไพเราะสักเท่าไหร่

      “เด็กบ้า” ข้อความขึ้นส่งปุป แซมก็อ่านปัป โดยไม่มีการตอบกลับเช่นเคย ทำให้เธอรู้สึกเหมือนคนบ้าที่กำลังคุยอยู่กับต้นไม้ แต่เธอก็ยังอยากจะพิมพ์ต่อ ไปเพื่อ? “ทำไมไม่ไปสอบ ไม่รู้หรือไงเขาสอบกันวันนี้”

      “รู้”

      “รู้........แล้วทำไมไม่ไป รู้ไหมคนเขาเป็นห่วงมากแค่ไหน ส่งไรไปก็ไม่เคยตอบกลับมา ทำไมเป็นคนแบบนี้เคยแคร์ความรู้สึกคนอื่นบ้างป่ะ”

      “นึกว่าไม่อยู่เลยไม่ได้ตอบ”

      “ปีศาจเฒ่า......นายนี่มัน” เธอไม่รู้จะหาคำยังไงไปว่าไปตอบกลับเขาที่พอจะทำให้เขาดูผิดไปบ้าง ทำไมเขาทำอะไรพูดอะไรถึงได้ถูก ดูดีไปหมด เพราะตัวเธอเองซินะที่คิดมากไป เธอผิดเองซินะที่ไปห่วงเขามากไป

      “ทีหลังมีอะไรช่วยบอกหน่อยได้ป่ะ ไม่ใช่มีไรก็เงียบไว้ หัดพูดมันเยอะๆหน่อยก็ได้น่ะ คนจะได้เข้าใจ”

      “อืม เป็นไร คิดมากน่า”

      “ก็ฉันเป็นผู้หญิงไง ผู้หญิงกับการคิดมากมันเรื่องปกติของคู่กัน”

      “รำคาญ”

      รำคาญ!! นี่เหรอเป็นรางวัลที่เธออุส่าห์เป็นห่วงเขาสารพัด เขาตอบแทนเธอด้วยคำที่เพราะมากเลย ชีวิตนี้เธอไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้จากคนที่เธอบอกออกไปเสมอว่าเธอแคร์ความรู้สึกเขามากเพียงใด แต่เขากลับตอบแทนเธอด้วยน้ำตา ที่ตอนนี้เธอกลั้นมันไว้ไม่อยู่แล้ว หมดแรงที่จะพิมพ์ต่อกลับไปจริงๆ เมื่อคำตอบมันชัดเจนขนาดนี้เธอคงไม่บ้าพิมพ์ตอบกลับกับคนที่ไม่สนใจคิดจะคุยกับเธอ

      ซันเดรียนอนน้ำตาคลอเบา  “น้ำใสรสชาติเค็มๆมันก็อร่อยดีนะ จากคนที่ปลื้มมอบให้ รู้สึกอยากขอบคุณกราบงามๆ ไอ้เด็กบ้า ปีศาจเฒ่าบ้า นายเป็นใคร ทำไมถึงต้องมาทำฉันเจ็บอยู่ประจำบ่อยๆสนุกมากหรือไงเล่นกับความรู้สึกคนแบบนี้ฮ่ะ”

      ฮื่อออ.....ฮื่อออ......

       

      เช้าวันต่อมา....

      ซันเดรียตื่นเช้าพร้อมนัยน์ตาที่แดงก่ำ ตาบวมจากการที่นอนร้องไห้มาทั้งคืน เธอส่องกระจกแล้วรู้สึกรับไม่ได้กับสภาพที่เห็น เธอจะทำยังไงดี จะไปเรียนในสภาพแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด คนได้สงสัยถามกันแน่

      เครื่องสำอางที่ทิ้งไว้แรมปีเธอจึงขุดออกมาใช้ให้หมด แต่งแต้มสีสันบนใบหน้าเพื่อกลบสภาพที่รับไม่ได้ ทำให้วันนี้เธอแต่งหน้าครั้งแรกในรอบปีก็ว่าได้ จากปกติที่เธอแค่โบ๊ะแป้งทาลิปเสร็จ แต่วันนี้เธอจัดเต็ม

       “ทุกคนที่ฉันเดินผ่านเขาต่างมองฉัน แม้จะมองว่าฉันแปลกหรือเป็นตัวประหลาดก็ตามเหอะ แต่นาย ไอ้ทวดเฒ่าปีศาจบ้า นายคนเดียวไม่เคยมองมาหาฉันเลย ต่อจากนี้เราจบกันไม่ว่าสถานะไหนก็ตาม พอกันทีกับ Fc บ้าบอ”

      ซันเดรียได้แต่บ่นคนเดียวกับตัวเองอยู่ในห้องน้ำ หวังไม่มีใครได้ยิน แต่แล้วเสียงกดชักโครกก็ดังขึ้น บรรลัยแล้วไงเมื่อรู้ว่ามีคนอยู่เธอจึงรีบออกจากห้องน้ำไป หวังเพียงคนในห้องน้ำคงไม่รู้ว่าเธอกำลังบ่นถึงใคร

       

      หนึ่งอาทิตย์เต็มกับการที่ซันเดรียไม่ได้คุยกับแซมเลย แม้มันทรมานและทำใจลำบากมากกับการห้ามใจตัวเองไม่ให้คิดถึงเขา พยายามไม่เข้าไปอ่านข้อความเก่าๆที่เคยคุยกันไว้

      เวลาเดินผ่านหน้ากันเธอต้องทำเหมือนแซมไม่ได้มีตัวตนอยู่ตรงนั้น คิดท่องไว้ในใจทุกวันๆว่าสักพักมันต้องดีขึ้นเอง เดี๋ยวมันก็ต้องหาย กลับมาเป็นซันเดรียคนเดิม

      ภายในคาบเรียนวิชาวิดิโออาจารย์ได้สั่งจัดกลุ่มโดยการนับเลข หนึ่งถึงห้า จะได้ทั้งหมดห้ากลุ่มด้วยกันเพื่อทำงานชิ้นต่อไปที่อาจารย์กำลังจะมอบหมาย นั้นคือการทำหนังสั้น เมื่อนักศึกษาในห้องเรียนกลุ่มนี้มีไม่เยอะ การแบ่งกลุ่มจึงจะมีคนตกกลุ่มละหกถึงเจ็ดคน ซันเดรียเธอนับเลขเสร็จก็ออกไปเข้าห้องน้ำเลย เมื่อกลับมาในห้องเห็นเพื่อนๆเหมือนจะนั่งกันเป็นกลุ่มๆตามเลขที่ได้ เธอนับได้เลขหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าใครบ้างอยู่กลุ่มเดียวกับเธอ จึงเอ่ยถาม

      “เอ่อ...ขอโทษน่ะ ไม่ทราบว่ากลุ่มหนึ่งอยู่ไหนอ่ะ”

       “เดีย กลุ่มหนึ่งทางนี้จ้า” ซันเดรียหันไปหาต้นเสียง เป็นเสียงของเอมี่ เธอยิ้มและเดินไปนั่งร่วมวง และเมื่อเธอมองดูเพื่อนร่วมวงของเธอดีๆ ทำให้เธอรู้สึกเหมือนโลกหยุดหมุนครู่หนึ่ง ทุกสิ่งหยุดนิ่ง นี้ฟ้าแกล้งเธอใช่ไหม ทำไมมีแซมอยู่กลุ่มเดียวกับเธอได้

      “เอาล่ะ เมื่อทุกคนมีกลุ่มกันหมดแล้ว โจทย์หนังสั้นของเราคือ อะไรก็ได้ แนวไหนก็ได้ แต่ไม่เกิน 30 นาที” อาจารย์ชีสย์เดินชี้แจงรายละเอียดอยู่หน้าห้อง “หวังว่าทุกคนคงเข้าใจแล้วไม่มีใครมีปัญหานะ ง่ายๆ”

      “หนูมีค่ะ/ผมมีครับ” ซันเดรียกับแซมยกมือขึ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย

      “เธอสองคนมีอะไร ให้ผู้หญิงพูดก่อนละกัน ว่าไง”อาจารย์ชีสย์หันมาหาซันเดรียพร้อมเอ่ยถาม

      “หนูขอเปลี่ยนกลุ่มค่ะ”

      “ทำไม”

      “คือ......ก็.....” ซันเดรียพูดติดๆตะกุตะกะ ไม่รู้จะบอกเหตุผลอาจารย์ไปยังไงให้ดูมีเหตุผลฟันขึ้น

      “ว่าไง” อาจารย์ชีสย์เอ่ยถามอีกครั้ง

      ซันเดรียเองก็ก้มหน้าครุ่นคิด แล้วมองไปหาแซมที่ก้มหน้าอยู่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ “เอ่อ....คือ.....คือแก๊งหนูมีสี่คนใช่ไหมค่ะอาจารย์ แล้วราเฟียก็ได้อยู่กลุ่มเดียวกันกับโดนี้ เบลค่ะอาจารย์เบลต้องอยู่คนเดียว เบลต้องเหงาหนูต้องไปอยู่ด้วย เขาจะได้มีเพื่อนคุย”

      เอาฉันไปเกี่ยวซะงั้นอีเดีย... เบลพึมพำคนเดียวเบาเบา

      “เหตุผลฟังไม่ขึ้น นายดีกว่าแซมใช่ไหมตกลงเมื่อกี้จะถามอะไร” ยังไม่ทันที่แซมจะเอ่ยถามมือถืออาจารย์ชีสย์ก็ดังขึ้น “โทษน่ะ เอาเป็นว่าใครมีไรก็เก็บไว้ถามวันหลังละกันวันนี้ผมมีธุระ”

      ซันเดรียพร้อมแก๊งของเธอพึ่งเดินออกจากตึกได้ไม่กี่ก้าว เพื่อจะไปยังที่จอดรถ จู่ๆก็มีเสียงเรียกจากด้านหลัง พร้อมมือคนบางคนที่จับมือเธอไว้ “คุยกันแปป”

      ซันเดรียหันมามองด้วยความตกใจไม่คิดว่าคนที่จับมือเธอจะเป็นแซม“ทวดเฒ่า” เมื่อทุกคนหันมามอง แซมกับซันเดรียจึงปล่อยมือกันเพราะไม่อยากเป็นจุดสนใจให้คนมีเรื่องไปคุยกันสนุกปาก หลังจากปล่อยมือทั้งสองก็ไม่ค่อยกล้าจะสบตากัน

      “ที่อยากย้ายกลุ่มเพราะฉันใช่หรือเปล่า” แซมเริ่มเอ่ยถาม แต่ซันเดรียก็เงียบไม่ได้ตอบอะไรเขาไป

      “เป็นไรมากป่ะ”

      “เป็น” ซันเดรียหยุดนิ่งไปครู่นึงแล้วเงยหน้ามองแซมพร้อมพูดว่า “เป็นคนที่นายรำคาญไง” พูดจบเธอก็เดินจากไปเลย โดยไม่นั่งรอฟังคำบรรยายอธิบายหรือคำอะไรก็ตามที่แซมกำลังจะพูดต่อ

       หลังจากแยกกับกลุ่มเพื่อน ระหว่างที่ขับออกไปได้ครึ่งทางแล้ว ฝนดันตกหนักทำให้เธอเปียกไปทั้งตัว เสื้อกันฝนหรือร่มสักคันก็ไม่มีสักอย่างติดตัวมา ไม่คิดว่าแดดออกจ้ามาทั้งวันจะมามีฝนตกลงมาได้ หนักซะด้วย โลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอนจริงๆ

      ฝนตกเพียงอย่างเดียวยังพอไหว แต่ฟ้ายังร้องส่งเสียงดังฉายแสงแปลบๆอย่างน่ากลัว เวลาฟ้าร้องมันช่างเหมือนปีศาจร้ายที่กำลังส่งเสียงคำรามทำให้เธอไม่กล้าที่จะขับไปต่อ จึงมองหาที่หลบฝน มองไปข้างหน้าไม่เห็นศาลาแม้แต่เงาพอที่จะให้เธอได้หยุดพักฝนได้เลย ที่แย่ไปกว่านั้นรถดันมาดับกลางถนนอีก

      “อ้าว...น้ำมันก็เต็มถังดับไรอีกเนี่ย ซวยซ้ำซวยซ้อนจริง” ซันเดรียรู้สึกโมโหอย่างบอกไม่ถูก หงุดหงิดเป็นที่สุดแต่ก็ไม่รู้จะไปโทษใครดี เธอได้แต่เข็นรถลงข้างทางไปหยุดตรงหน้าบ้านใครไม่รู้หวังว่าเขาคงไม่ว่าอะไร

      “หลบใต้ต้นไม้นี้ก่อนละกัน ฟ้าจะผ่าฉันป่ะนิ”  การหลบใต้ต้นไม้เหมือนจะไม่ค่อยปลอดภัยนักเวลาฝนตก แต่เธอไม่มีทางเลือกอื่นจะขอเข้าไปในบ้านก็ไม่รู้บ้านใครเกิดเป็นบ้านหนุ่มเมาโรคจิตเธอคงแย่

       เปียกไปทั้งตัวอย่างน้อยการหลบใต้ต้นไม้ใหญ่ก็พอช่วยบังฝนได้บ้างเล็กน้อย  “มืดก็มืด เมื่อไหร่ฝนจะหยุดตกสักที มือถือก็แบตหมด เห้อ...บอกกี่ครั้งแล้วซื้อใหม่ๆๆแบตเสื่อมแบบนี้มันลำบากรู้ไหมมีมือถือก็เหมือนไม่มี ว่าแต่...ฉันบ้าป่ะเนี่ยยืนบ่นคนเดียว หนาวจนเพี้ยนแล้วฉัน”               

       

      แซมนั่งเล่นเกมอย่างเมามันส์อยู่ในห้อง ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงแม่แววเข้ามาแทนเสียงการต่อสู้ในเกม เสียงแม่ดังมาแต่ไกลจากในห้องครัวที่กำลังทำอาหารอยู่ ส่งกลิ่นหอมไปทั่วบ้าน

      “คร้าบ...มาแล้วคับผม” แซมพูดพลางโอบแม่จากด้านหลัง

      “แม่เหม็นจัง กลิ่นตุตุโชยมาเข้าจมูกผมเป็นลมแระ” แซมหยอกเล่นกับแม่อย่างมีความสุข

      “เด็กคนนี้นี่ ปากร้ายแบบนี้แหละ ถึงยังไม่มีสาวมาติดพันสักที หน้าตาก็ดี”

      “โห...แรงง่ะแม่ ว่าแต่มีอะไรถึงเรียกผมมา”

      “ช่วยเอาขยะออกไปทิ้งให้แม่หน่อย มันล้นจะหล่นพื้นแล้ว”

      “ให้ฝนมันหยุดก่อนได้ไหมอ่า...ฝนตกหนักมากนะแม่ เดี๋ยวฟ้าผ่าลูกแม่ทำไง”

      “ฟ้าจะผ่าเพราะปากแกนี้แหละแซมเอ้ย”

      แซมเดินเอื่อยเหมือนคนขี้เกียด แต่ก็ทำทุกครั้งไม่ว่าแม่เขาจะสั่งให้ทำอะไร แซมเดินถือร่มข้างถุงขยะข้าง เดินออกไปทิ้งขยะด้านนอกบ้านทั้งที่ฝนยังตกกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ใส่กางเกงขาสามส่วนสบายๆเหมือนอยู่ในบ้าน คิดว่ามืดขนาดนี้คงไม่มีใครสังเกตเห็นไม่ต้องเรียบร้อยอะไรมากมาย

      วางถุงลงข้างถังขยะนอกบ้าน ก่อนจะหันเข้าประตูบ้าน แซมเลือบมองเห็นเป็นเงาๆเหมือนมีคนยืนอยู่ใต้ต้นไม้ แต่ด้วยความมืดไฟส่องข้างถนนตรงนั้นก็ดับไปเป็นเดือน จึงเห็นไม่ชัดไม่รู้ว่าใคร

      “ผีหรือคนว่ะ” เขาเดินไปหาเพียงไม่กี่ก้าวก็รู้ในทันทีแม้ยังไม่เห็นหน้า “ยาย”

      “ทวดเฒ่า”

      ทั้งสองยืนอึ้งไปสักพัก จากนั้นทั้งคู่ต่างหลบตาลง

      ซันเดรียหนาวสั่นจนปากซีดไปหมดแล้ว เพราะรอเป็นชั่วโมงฝนก็ยังไม่ซาลงสักที

      “เอ่อ...” ทั้งสองเงยหน้าขึ้นและเอ่ยพร้อมกัน

      “เอ่อ...คือ...เข้าบ้านฉันก่อนซิ” แม้แซมจะเอ่ยชวนแต่คำพูดของเขาช่างดูเย็นชายิ่งหนัก ทำให้ซันเดรียรู้สึกไม่อยากรับในความหวังดีสักเท่าไหร่จึงปัดคำชวน

      “ที่จริง ก็...แค่ไม่อยากให้ใครมาล้มตายหน้าบ้านฉันเท่านั้นแหละ”

      “ไม่จำเป็น ฉันไม่ตายง่ายๆหรอก”

      “ไม่อยากเข้าก็ตามใจ” พูดเสร็จแซมก็เดินเข้าบ้านไป ปล่อยซันเดรียยืนตากฝนหนาวอยู่นอกบ้านคนเดียวต่อไป ซันเดรียหันไปทางอื่นไม่ได้สนใจที่จะมองเขาด้วยซ้ำ แม้ไม่ไหวยังไงแต่ข้างนอกเธอจะไม่ยอมแสดงความอ่อนแอให้แซมเห็นเด็ดขาด

       

      แซมเดินเข้าบ้านมาด้วยความกังวลเล็กน้อย ลึกๆในใจก็แอบเป็นห่วง แต่ปากมันช่างน่าตัดลิ้นทิ้งเสียจริงๆ

      แม่เห็นแซมเข้ามาแล้วจึงเอ่ยถาม “แซมลูก ทำไมออกไปทิ้งขยะแค่นี้นานจัง”

                       แซมได้แต่ตักซุปขึ้น พอจะซดน้ำซุปก็อดนึกถึงซันเดรียไม่ได้ ที่ยืนหนาวอยู่ข้างนอก ขนาดอยู่ในบ้านยังหนาวแล้วข้างนอกเธอจะเป็นยังไง แม่เดียเห็นลูกชายไม่กินสักที จึงเอ่ยถาม “ทำไมไม่รีบกินคับ เดี๋ยว.......”

      “เดี๋ยวผมมาครับแม่” แม่เดียยังพูดไม่ทันจบ แซมรีบแทรกแล้วลุกจากโต๊ะ หยิบร่มวิ่งออกไปหาซันเดรียทันที

       

      ซันเดรียรู้สึกหน้ามืดเหมือนจะทนความเย็นไม่ไหว จนวูบลงในที่สุด แซมเห็นเข้าจึงได้ทิ้งร่มในมือวิ่งเข้าไปคว้าร่างบางๆประคองไว้ทันพอดี

      “ปีศาจเฒ่า” รู้สึกตัวอีกทีเธออยู่ในอ้อมแขนปีศาจไปแล้ว แซมกำลังอุ้มเธอ เธอต้องฝันไปแน่ๆหรือเธอตายแล้วซันเดรียคิดไปนานา

      “ไม่ไหวยังปากเก่งอีก ฉันจะพาเธอเข้าบ้าน”

      “ปล่อยฉัน ฉันเป็นผู้หญิงจะให้เข้าบ้านผู้ชายได้ไงน่าเกลียดมาก”

      “โอ้ย...ฉันไม่ปล้ำเธอหรอก ยายแก่ขนาดนี้ใครจะพิศวาสลง”

      “ไอ้ปีศาจบ้า...”

      แซมเบื่อจะยืนเถียงกลางสายฝนเพราะตอนนี้เขาเองก็เปียกไปทั้งตัว เขาวางเธอลงแล้วลากเข้าบ้าน

      แม่แซมเห็นแล้วตกใจเล็กน้อย ที่จู่ๆแซมพาผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้เข้าบ้าน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยพาเพื่อนคนไหนมาบ้านเลยไม่ว่าจะเป็นเพื่อนผู้หญิงหรือผู้ชาย ยังเปียกกันมาอีก สร้างความงุนงงแก่แม่เดียไม่น้อยเลย

      “ไปทำอะไรกันมาจ้ะ เปียกกันขนาดนี้”

      “หวัดดีค่ะ...เอ่อ”

      “เรียกแม่เดียก็ได้จ้ะหนู”

      “ค่ะ แม่เดีย ชื่อเหมือนแม่หนูเลย”

      แซมแทรกพูดในขณะที่ทั้งสองกำลังแนะนำตัวกัน “เอ่อ...แม่ครับผมฝากเด็กดื้อแปปนะ”

      ตาบ้านิมาเรียกฉันเด็กดื้อ นายซิดื้อ แซมเดินเข้าไปข้างใน ทิ้งให้เธออยู่กับแม่เขาแค่สองคน จนเธอรู้สึกเหมือนหายใจไม่ค่อยสะดวกอึดอัดทำไรไม่ถูก ไม่รู้จะทำตัวยังไงดี ปกติเธอก็เข้ากับผู้ใหญ่ไม่ค่อยเก่ง เลยได้แต่ส่งยิ้มแก้เขิน

      แล้วแม่แซมก็หายเข้าไปด้านในของบ้านอีกคน “นี่ใจคอทั้งแม่ทั้งลูก จะปล่อยให้ฉันยืนเปียกแฉะอยู่ตรงนี้ อีกนานป่ะ ชิ!! สักพักแม่เดียก็ออกมายื่นผ้าขนหนูให้ “หนูเดียเข้าไปเปลี่ยนเสื้อห้องอลินเถอะ เดินเข้าไปข้างในฝังขวามือ น่าจะมีเสื้อพอให้หนูใส่ได้นะ”

      “เอ่อ...ไม่รบกวนดีกว่าค่ะ คือ...นี้ก็ดึกมากแล้ว หนูขอแค่โทรศัพท์โทรหาที่บ้านให้มารับได้ไหมค่ะ”

      “ได้ซิ แต่แม่ว่าหนูควรเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ เดี๋ยวจะเป็นหวัดเอา” แม่เดียยิ้มให้เธอพร้อมเอ่ยต่อ “แม่ไปตักซุปทานพร้อมกับแซมละกัน แซมเองก็ยังไม่ได้กินอะไร”พูดเสร็จซันเดรียก็เดินเข้าไปข้างใน ส่วนแม่เดียก็เดินเข้าครัวไป

       

      เธอเดินไปเรื่อยๆไม่รู้ว่าห้องไหนห้องใคร แม้จะรู้ว่าอยู่ขวามือแต่มันไม่ได้มีแค่ห้องเดียว เธอจึงลองบิตลูกบิตประตูมันทุกห้อง ห้องไหนไม่ล็อคไว้ห้องนั้นแหละที่เธอจะเข้าไป

      “เรียบร้อยแบบนี้ คงเป็นห้องนี้แหละห้องอลิน”

      ซันเดรียล็อคประตูห้องแล้วเดินไปวางผ้าขนหนูที่โต๊ะอ่านหนังสือ เหลือบมองเห็นไดอารี่เล่มหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะ ซึ่งไดอารี่เล่มนี้คือไดอารี่ของเธอเอง ที่ทำขึ้นมาเพื่อแซม ตั้งใจไว้จะให้เซอร์ไพรส์ตอนจบปีสี่แต่เหตุการณ์มักไม่ราบรื่นเสมอ    

      “ในเมื่อมีไดอารี่อยู่ในห้องนี้ งั้นแสดงว่าห้องนี้คือห้องของไอ้ทวดเฒ่าดิ ชิปหายแระ” ก่อนจะออกจากห้องไป เธอดึงผ้าขนหนูที่ตั้งไว้ ทำให้ไดอารี่หล่นพื้น เธอก้มลงจะหยิบมันตั้งกลับที่เดิมทว่ากลับเห็นรูปใบหนึ่งหล่นมาด้วย มันคือรูปผู้หญิง จากชุดนักเรียนนี้น่าจะถ่ายไว้ตอนจบม.หก เขาคงจะได้รูปนี้มาจากการแลกรูปก่อนจากกัน

      “คนนี้ซิน่ะ ที่นายบอกแอบชอบเขาอยู่”

      เมื่อมีเสียงดังเกิดขึ้นภายในห้อง แซมที่ทำธุระอยู่ในห้องน้ำก็เปิดประตูออกมาดูทั้งๆที่ยังเปลือยบนอยู่

       เห็นซันเดรียนั่งถือรูปไว้ในมือ จึงรีบออกมาจากห้องลืมคิดถึงเสื้อผ้าว่ายังไม่ได้ใส่ แต่ซันเดรียเองก็ไม่ได้สนใจอะไรเพราะตอนนี้ เรื่องเดียวที่เต็มอยู่ในความคิด คือรูปผู้หญิงคนนี้ น้ำตาเริ่มไหลอาบแก้มโดยไม่ตั้งใจ

      “คนนี้ใช่ไหม คนนี้ใช่ไหม ที่แคร์เขาหนักหนา ถ้าชอบเขามากก็ไปบอกเขาซิ” ซันเดรียพูดทั้งน้ำตา

      “ไอ้ปีศาจบ้า” เธอทิ้งรูปนั้นแล้ววิ่งออกจากห้องทั้งที่ยังร้องฟูมฟาย

       

                      แม่เดียถือซุปออกมาเห็นซันเดรียร้องไห้ฟูมฟาย นึกสงสัยไม่น้อยไม่รู้แซมไปทำอะไรเธอหรือเปล่า จะถามอะไรก็ไม่ทันเพราะเธอวิ่งออกจากบ้านไปแล้ว ฝนก็ยังไม่หยุดตก ดึกก็ดึก อยู่ข้างนอกอันตรายไม่น้อย

                      ไม่ทันที่แม่เดียจะเข้าไปตามแซม เขาก็เดินมา “เดียไปไหนแล้วแม่”

                      “วิ่งออกไปนู้นแล้ว ลูกไปทำอะไรเธอ ร้องไห้ซะขนาดนั้น”

                      “เอ่อ..ผมก็งงนิดหน่อย เดี๋ยวมานะแม่”

       

      …………………………………………………………………………………………………………………………………

       

       #ร้านหนังสือกับผู้ส่งสาส์น

                     

                      แซมวิ่งตามซันเดรียจนทัน เหมือนทั้งคู่จะเปียกกันอีกรอบ ท่ามกลางสายฝนซันเดรียยังคงร้องฟูมหายไม่ยอมหยุด แซมไม่รู้จะทำยังไงเพื่อจะพาเธอกลับเข้าบ้าน ถ้าบอกให้กลับไปดีๆคิดว่าเธอคงไม่กลับไปแน่นอน จึงเลือกใช้วิธีการอุ้มซะเลย “ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะ ไอ้เด็กบ้า” แม้ซันเดรียจะตัวไม่หนักมากแต่เมื่อเธอดิ้นสุดชีวิต แซมก็เซได้เหมือนกัน เขาจึงปล่อยเธอลง พร้อมตะคอกใส่เธอ

                      “เธอนั้นแหละเป็นบ้าอะไร ฝนตกหนักแบบนี้ ชอบมากหรือไงตากฝน อยากหนาวตายจริงๆใช่ไหม”

                      “มันเรื่องของฉัน ยังไงนายก็ไม่เคยสนใจฉันอยู่แล้ว รู้ไหมฉันต้องเสียใจเพราะนาย เจ็บเพราะนายมากี่ครั้ง”

                      “ฉันไปทำไรให้เธอ” เขาพูดด้วยเสียงทุ้มที่ไม่แข็งกร้าว

                      ซันเดรียตบหน้าแซมเต็มแรงไปหนึ่งที “อย่ามาแกล้งโง่ได้ม่ะ ฉันไม่อยากยุ่งกับนายอีก หยุดทำร้ายฉันสักที”

                      “ไปทำไรให้ก็บอกมาซิ เอะอะก็ด่า เงียบ หาย ใครมันจะไปเข้าใจ ฉันไม่ว่างพอจะมาหาคำตอบไร้สาระพวกนี้หรอกนะ งานอื่นมีเยอะแยะที่ต้องทำ”

                      “หร่อ ฉันเงียบหร่อ รู้ไหมการวิ่งตามจับผีเสื้อตัวนึงมันเหนื่อยแค่ไหน ฉันไม่น่าไปหลงในความสวยของมันเลย บ้าจริง พอ พอสักที...ฉันเกลียดนาย ได้ยินไหม ฉันเกลียดนาย” แซมโมโหมากเริ่มเก็บอารมณ์ไม่ไหว ดึงหน้าเธอเข้ามาใกล้คิดจะปิดปากเธอที่โวยวายไม่ยอมหยุด ยังไม่ทันที่เขาจะจูบเธอ ต่างคนต่างนิ่งท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างกระหน่ำไม่ขาดสาย

       เหมือนทุกอย่างจะหยุดนิ่งไร้การเคลื่อนไหว  เหลือแค่เสียงลมหายใจของกันและกัน และเสียงหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ  “ขอโทษ หยุดร้องเถอะน่ะคนดี กลับเข้าบ้านนะ เปลี่ยนเสื้อผ้าเดี๋ยวไปส่ง”

      แซมพูดอย่างแผ่วเบาและอ่อนโยน ในขณะที่ซันเดรียยังเงียบแล้วหมดสติลงในที่สุด

       

      การนั่งกินข้าวเที่ยงของวันนี้ไม่มีเสียงดังรบกวนชาวบ้านเหมือนเช่นเคย เธอเอาแต่เขี่ยข้าวไปมานั่งเหม่อๆเหมือนกำลังคิดเรื่องอะไรสักอย่าง จิ้มไปจิ้มมา เนื้อไก่ชิ้นโตก็เกิดบินได้ขึ้นมา ลอยไปอยู่ในจานโดนี้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเธอ

      “เป็นอะไรของแกนังเดีย ไก่ลอยมาเชียว” โดนี้เอ่ยถามทันที แต่เหมือนซันเดรียจะยังไม่รู้สึกตัว

      “พวกแกว่ามันแปลกๆป่ะ” โดนี้หันไปคุยกับอีกสองคนเบลและราเฟียแทน

      “เออ ฉันก็ว่ามันแปลก แปลกมาก เอ๊ะ หรือว่ามันทะเลาะกับแซมมาอีก” เบลออกความคิดเห็น

      “ทะเลาะไรกันก็เห็นวันนี้มันมาเรียนกับแซม” โดนี้พูดไม่ทันจบทั้งสามคนก็หันพรืบไปพูดกับซันเดรียพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายใดๆ “แกมาเรียนด้วยกันกับแซมได้ไง” เสียงดังประสานเสียงจนซันเดรียสะดุ้งตกใจและคนที่นั่งกินข้าวรอบๆบริเวณนั้นหันมามองเป็นตาเดียว

      “เสียงดังไรเนี่ยพวกแก อายชาวบ้านเขาป่ะ”

      “ไม่สนครัซผม อยากรู้แกมาเรียนด้วยกันกับแซมได้ไง ตอบ!!” โดนี้เอามือทุบโต๊ะเสียงดังซักไซ้คำตอบ

      “เอ่อ...คือ”

      “ตอบ!!” ทั้งสามประสานเสียงกันอีกครั้งโดยไม่ได้นัดหมายพร้อมจ้องตาเขม็ง “เรื่องมันยาวอ่ะ” ไม่ว่าจะพูดยังไงดูเหมือนสายตาจอมมารทั้งสามยังไม่ละเลิกความตั้งใจ เธอจึงตัดสินใจเล่าเรื่องทุกอย่างของวันนั้นให้ฟัง...

      “อุปส์!! เขามีความคืบหน้า”

      “อุย...เหมือนพระเอกนางเอกเลยอ่ะ มีสลบด้วย แล้วเธอก็นอนบ้านแซมเขาดูแลเธอเฝ้าเธอทั้งคืนจนเธอฟื้นขึ้นมา โคตรโรแมนติกอ่า มุ้งมิ้ง คิคุ ” ขณะที่ราเฟียกำลังเพ้อโดนี้ก็แทรก “แกเสียตัวให้เขายังเนี่ย”

      “ไอ้บ้า นั่นปากหร่อฮ่ะ” โดนี้เอ่ยต่อ“ไม่น่าเชื่อ ไม่เห็นคุยกันสักครั้งแล้วมันแอบไปเป็นกิ๊กกันตอนไหนฟ่ะ ลึกซึ้งจริงๆ แหม่แสดงละครตบตาสุดหล่อได้เนียนนะพวกเธอ สุดหล่อไม่เคยเอะใจเลย เยี่ยม ปรบมือ”

      “แค่เพื่อนอย่าเข้าใจผิด” ขณะที่ซันเดรียกำลังพูดแซมก็เดินเข้ามาที่โต๊ะ เห็นแล้วเธอจึงพูดย้ำต่อหน้าแซมพร้อมสายตาที่จ้องมองไปที่เขา “เราไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่เคยเป็น และไม่มีวันเป็น ชัดน่ะ ”

      จากตอนแรกที่เพื่อนๆคิดจะพากันแซวเล่น แต่ดูจากสถานการณ์ตึงเครียด ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง

      “แค่จะมาบอกรถซ่อมเสร็จแล้วตอนเย็นเดี๋ยวพาไปเอา ”

      “ฉันจะไปเอาเอง ให้เบลพาไปได้” เบลรีบตอบในทันที “เอ่อ ฉันไม่ว่างนะ” เมื่อเธอหันไปหาทุกคน ต่างก็พากันส่ายหน้า ช่างเป็นเพื่อนผู้หวังดีกับเธอมากจริงๆ แซมไม่ได้พูดอะไรมากแค่เดินออกไป

       

      ก่อนกลับบ้านแซมได้แวะร้านหนังสือเก่าๆร้านหนึ่ง ดูจากสภาพร้านแล้วเก่าแต่ก็คลาสสิก นอกร้านเหมือนจะถูกตกแต่งเป็นรูปรถตู้หันข้างตรงประตูรถก็เป็นประตูเปิดเข้าไปในร้าน แต่ทุกอย่างล้วนแล้วแต่สร้างด้วยไม้มีผสมปูนบ้างก็เล็กน้อยแค่บางส่วน

      ซันเดรียไม่ทนรอกับอากาศร้อนๆนอกร้าน โดยปกติก็เป็นคนบ้าหนังสืออยู่แล้วจึงตามแซมเข้าไปในร้านด้วย เห็นจากข้างนอกเป็นแค่ร้านเล็กๆ พอเข้ามาข้างใน รู้สึกเหมือนโดนมนต์สะกด ข้างในร้านดูน่าสนใจมีหนังสือมากมายวางเรียงรายน่าหยิบซื้อไปหมดทุกเล่ม เธอเดินไปเรื่อยๆ ข้างในร้านยังมีบันไดปูพรมแดงเดินวนลงไปชั้นล่าง ดูไปดูมาเธอเริ่มรู้สึกคุ้นชินกับที่นี้เหมือนเธอเคยมา เธอพยายามนึก ความคิดได้หยุดชะงักเมื่อสายตาไปเตะที่หนังสือเล่มหนึ่งเข้า

      ขณะที่มือเธอเอื้อมไปหยิบหนังสือจากชั้นวาง ปรากฏมีอีกมือหนึ่งดึงหนังสือเล่มนั้นอยู่เหมือนกันจากฟากตรงข้าม ดึงไปดึงมาลองเขยิบหนังสือเพื่อดูหน้าว่าเป็นใคร “ฉันหยิบก่อนนะไอ้เด็กบ้า”

      “หยิบก่อนแล้วทำไมยังไม่ได้ไป แสดงว่าหยิบพร้อมกันถึงได้แย่งกันงี้ไง โง่ป่าว”

      “เอ๊ะ นาย เอะอ่ะก็โง่ ตกลงฉันไม่มีอะไรดีเลยใช่ป่ะ ใช่ซิฉันมันไม่ใช่แฟนสาวนายที่นายหลงมันอยู่นี่”

      “อย่ามาปน” สายตาอันดุเดือดจ้องกันปานจะฆ่ากันไปหนึ่ง เมื่อไม่มีใครยอมใคร ไม่มีใครปล่อยมือจากหนังสือ ผ่านไปชั่วโมงหนึ่งทั้งสองคนเหมือนจะยืนเมื่อยกันทั้งคู่ เลยหมดแรงนั่งลงพร้อมกัน หนังสือก็หล่นลงมาใส่หัวซันเดรีย

      เธอหยิบมันขึ้นมาดูปุป “ใช่เลย เปะ เหมือนในความฝัน” เธอเคยมาที่นี่จริงๆ ซึ่งมาในความฝัน หนังสือเล่มนั้นก็คือหนังสือพิสดารที่ไม่มีอะไรอยู่ข้างใน “เอาไปต่ะ ฉันไม่อยากได้มันแระ” ซันเดรียเดินไปหาแซมที่โต๊ะพร้อมยื่นหนังสือเล่มนั้นให้ และนั่งลงข้างๆเขา แซมไม่ได้ว่าอะไร หยิบหนังสือเปิดดู “เหมือนเคยฝัน..” แต่ข้างในกลับมีตัวหนังสือ ช่างผิดกับความฝันที่ข้างในนั้นว่างเปล่า พลิกไปทีละหน้าก็ไปหยุดอยู่ตรงภาพรถไฟขบวนหนึ่งที่กำลังวิ่ง

       “ก็แค่ความฝันอ่ะน่ะ”แซมยักไหล่เหมือนจะบอกเธอว่าอย่าไปจริงจังมาก งมงาย แล้วลุกขึ้นยืนบอกจะกลับบ้าน

      ขณะที่ทั้งสองหันหลังไปจากหนังสือเล่มนั้นที่วางทิ้งไว้บนโต๊ะ ก็มีบางอย่างเริ่มขยับตัว รถไฟขบวนในภาพเริ่มขยับตัววิ่งอย่างเร็ว พร้อมส่งเสียงแตรดัง

      แซมและซันเดรีย  “เฮ้ย!!” ร้องอุทานพร้อมกันด้วยความตกใจ ยิ่งมองเหมือนยิ่งมีแรงดึงดูดต้องมนต์ให้เข้าหา  ด้วยความเร็วของรถไฟทำให้เกิดลมแรง ทั้งสองเหมือนคนที่นั่งข้างทางรถไฟในขณะที่รถไฟวิ่งเร็วสุดขีด จึงเกิดเหมือนแรงดึงดูดในไม่ช้าทั้งสองคนก็หลุดเข้าไปในอีกมิติหนึ่ง รถไฟยังคงวิ่งเร็วตามเดิม วิ่งผ่านความมืดมิดและเหน็บหนาว ระบบในร่างกายคล้ายจะปรับสภาพไม่ทัน เพราะบางทีรถไฟขบวนนี้ก็เหมือนจะวิ่งเอียงบ้าง ตีลังกาบ้าง ทำให้ทั้งสองหมดสติไป..

       

      ผู้โดยสารโปรดทราบขณะนี้ถึงที่หมายแล้ว โปรดตรวจสอบสัมภาระของท่านที่ติดตัวมาให้เรียบร้อย ขอให้ทุกท่านโชคดี..

      เสียงประกาศทำให้ซันเดรียตื่น พร้อมความงุนงงลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มองไปรอบตัวไม่เห็นใครนอกจากเธอและเขาแค่สองคน “ที่ไหนกัน!? ” ประตูถูกเปิดออก ข้างนอกนั้นเต็มไปด้วยสัตว์ต่างๆมากมายเดินไปมา แต่ละตัวเหมือนจะมีคนตัวจิ๋วประจำทุกตัว คนกลายเป็นสัตว์เลี้ยงของสัตว์หรือยังไง!!

      “ตาเฒ่า ตื่น!! ” เธอพยามปลุกเขา ทำยังไงก็ไม่ตื่นสักที “ไอ้ปีศาจเน่าตื่นสักทีซิ” เหมือนแซมจะรำคาญกับคำเรียกของเธอ จับมั่วในขณะที่ตายังปิด ดึงแขนจนเธอเสียหลัก เกิดเป็นบทมุ้งมิ้งน่ารักๆระหว่านทั้งสองขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาได้สัมผัสรสชาติอันหวานละมุนของลิปสติกบนปากเธอ “เรียกชื่อไม่เป็นหรือไง” เขาเอ่ยกับเธอเบาๆ กลิ่นอันหอมหวานพร้อมรสช็อกโกแลต ทำให้เขาอดไม่ได้ที่อยากจะสานต่อ เธอเองเหมือนจะยินยอมไม่ขัดอะไร หรือทั้งสองกำลังปล่อยความรู้สึกที่แท้จริงออกมา แต่ความต้องการคงต้องหยุดลงเมื่อเสียงหนึ่งสั่นขึ้นมาคล้ายเสียงเรียกข้าวของมือถือ แต่ไม่ใช่

      ก้อนกลมๆสีฟ้าและสีชมพูเรืองแสงขึ้นมา ก้อนสีฟ้า  : ยินดีต้อนรับสู่เกม โปรดระวังกลลวง

                                                        ก้อนสีชมพู : ยินดีต้อนรับสู่เกม หากคู่กันแล้วก็ไม่แคล้วกัน

       

       อีกห้านาทีรถจะออกจากชานชาลา เพื่อไปสถานีต่อไป

       

      “เอ่ออ...เอาไงจะลงนี้หรือไปต่อ แต่ที่นี้ก็พิสดารมากแล้วสถานีต่อไปไม่แย่กว่านี้หร่อ ชิป่ะ”

      “แล้วแต่เธอ” ดูเหมือนแซมไม่ได้สนใจที่ซันเดรียกำลังบ่นอยู่เลยด้วยซ้ำ เขาสนใจแต่หน้าจอเกมว่ามีอะไรบ้างอยู่ในนั้น จอระบบสัมผัสหยิบจับแตะใช้งานง่าย เสียอยู่อย่างเดียวคือภาษาที่ไม่รู้เป็นภาษาอะไร

      “จะเลือกชุดไหนบอกมา ทรงผมอะไรยังไง”

      “บอกเฉยๆก็ได้ เชอะ!! ทำไมต้องมาทำหน้าเข้มใส่ด้วย คิดว่าหล่อมากหรือไง ไอ้ปีศาจเฒ่าโรคจิต”ซันเดรียบ่นเบาๆด้านหลังเขา แลบลิ้นใส่บ้าง ทำท่าจะทุบหัวบ้างสารพัดอย่าง

      “ได้ยิน”

      “ย่ะ เอาชุด ชุดนี้ก็สวยดีออกเป็นนางฟ้านางสวรรค์ในหนังจีนดี ”

      “ไม่เอา”

      “แหง่ล่ะ นายไม่มีเสื้อใส่นี่กลัวโชว์วันแพคออกมาเหรอ ซิกแพคไม่มีซิน่ะ ฮ่าา”

      สุดท้ายแล้วแซมเลือกชุดสีดำผ้าหนังที่ซับเหงื่อดี ทรงเข้ารูปไม่เกะกะ มีอุปกรณ์พร้อมติดตั้งทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า กระเป๋าเป้ใบเล็กสะพายหลังก็ยังอัดแน่นด้วยไอเทมวิเศษต่างๆมากมายที่เอาไว้ใช้ป้องกันตัวที่ยังไม่รู้ว่าต้องเจออะไร

      เมื่อเขาเลือกทุกอย่างครบแล้วโดยไม่ถามความเห็นเธอสักคำ มือเขาก็หยุดนิ่งลงที่ปุ่ม ตกลง แล้วหันมาหาเธอพร้อมพูดว่า “พร้อมน่ะ” พูดเสร็จแซมก็ก็กดปุ่มทันที

      ตื้ดด...ตื้ดด...ตื้ดด!!  เสียงระบบเริ่มสั่งการ ไม่ช้าก็มีตู้กระจกลงมาครอบทั้งสองแยกออกจากกัน เพื่อทำการเปลี่ยนลุคใหม่ตามที่แซมได้กำหนดไว้ในระบบก่อนหน้านี้ ซันเดรียรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังแปลงร่างเหมือนในการ์ตูน เพียงไม่กี่วินาทีร่างเธอก็ถูกเปลี่ยนด้วยชุดใหม่ด้วยตัวของมันเองชุดนักศึกษาเดิมที่เธอใส่มาจากโลกมนุษย์ก็หายไปเสียแล้ว ตอนนี้เขาทั้งสองเป็นตัวละครในเกมๆนี้อย่างเต็มตัว

      หลังจากนั้นก็เดินไปเรื่อยๆตามคำสั่งที่ได้รับจากเจ้าไข่กลมๆเรือนแสงจนไปถึงบ้านหนึ่ง ที่ดูล้ำสมัยถูกตกแต่งแปลกตา เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่างก็จะเห็นบ้านในลักษณะเดียวกันถูกปลูกสร้างเรียงกันเป็นแถวเป็นสิบๆหลัง เป็นบ้านสองชั้นมีรั้วกั้นล้อมรอบบ้าน  “เดี๋ยวน่ะ บ้านออกจะใหญ่โตแต่ทำไมมีห้องนอนแค่ห้องเดียว” ถามไปก็แค่นั้นเมื่อแซมไม่ได้สนใจในสิ่งที่ซันเดรียพูดเลยด้วยซ้ำ ทำให้เธอได้แต่โมโหตัวเอง นึกบ่นอยู่ในใจถึงคนที่ไร้ความรู้สึกอย่างเขา

      ซันเดรียเห็นเตียงที่ใหญ่น่านอนแล้วคิดจะทิ้งตัวหลับสักพัก แต่เมื่อเธอกระโดดใส่เตียงมันเหมือนมีกำแพงที่มองไม่เห็นกั้นอยู่จนทำเธอกระเด็นออกมา ทำเธอเจ็บไปทั้งตัวพร้อมกับนึกโมโหแซมที่ไม่คิดจะถามห่วงอะไรเธอเลยสักนิด

      แซมลองไปแตะมั่วดูปรากฏว่ามันถูกกั้นโดยบางอย่างจริง ซันเดรียที่นั่งปัดก้นอยู่เหมือนจะลุกไม่ค่อยไหว มือข้างหนึ่งเลยยันกระจกที่มองไม่เห็นหวังพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นยืน แต่เมื่อมือเธอได้สัมผัส เสียงตรื้ดเหมือนโปรแกรมกำลังปลดรหัสล็อคก็ดังขึ้นจนสิ่งที่กั้นอยู่ก็หายไป สร้างความงุงงงแก่ทั้งสองเป็นอย่างมาก

       

      ที่แห่งนี้สว่างอยู่ตลอดเวลา แต่ทั้งสองคนจะรู้สึกง่วงบ้างหากหน้าต่างถูกปิดลง “เวลาหน้าต่างมันปิดคงจะเป็นเวลากลางคืนในโลกเราซินะ” ซึ้งมันจะปิดด้วยตัวของมันเอง แม้ไม่กินอะไรก็ไม่มีใครหมดแรงเพราะความหิว

      “นี่นาย คนที่สมควรเงียบไม่สนทนาด้วยคือฉัน ฉันคือคนที่โกรธและโมโห นายคือคนที่ต้องพูดมากต้องเป็นคนง้อ ไม่ใช่ใบ้ไม่มีปากแบบนี้ ปรึกษากันซิ เราอยู่ที่ไหนยังไง ฉันอยากกลับบ้านน่ะ นี้ก็เกมบ้าอะไรไม่รู้ อยู่มาก็นานแล้วกี่วันยังไงก็ไม่รู้ มืดก็ไม่มืด พิสดารสุดๆ เลือกให้มาให้ทำอะไรก็ไม่บอกไหนละคำสั่งให้เล่นเกมยังไงก็ไม่มี ฉันจะบ้าอยู่แล้วน่ะ ”

      “พูดจบยัง เหนื่อยป่ะ เงียบแล้วนอน” แซมพูดจบก็ทำท่าจะถอดเสื้อออก จนซันเดรียรีบเอ่ยขึ้นในทันใด “เดี๋ยว STOP เลย จะทำอะไรของนายไอ้เด็กบ้า จะมาโชว์กล้ามอะไรแถวนี้ไม่ต้อง...ฉัน... ฉันไม่อยากเสียสายตา”

      “พูดเหมือนไม่เคยเห็น”

      “หมายความว่าไง” เมื่อเธอลองนึกย้อนไป ก็นึกได้ว่าเธอเคยเห็นแล้วจริงๆแต่เพราะตอนนั้นเธอไม่ได้สติมัวสนแต่เรื่องรูปผู้หญิงคนที่แซมชอบเลยไม่ได้สนใจแซมว่าเขาจะโป๊ยังไง

      “เห้ย..ตอนนั้นมัน...ไม่รู้แหละ ห้ามถอดห้ามนอนบนเตียงนี้ด้วย ยังไงฉันก็เป็นผู้หญิงมันไม่เหมาะ ใครรู้ขึ้นมาฉันเสียหาย อีกอย่างผู้ชายมันก็ไว้ใจไม่ได้ทุกคน สวยๆอย่างฉัน นายอดใจไม่ไหวหรอก”

      ไม่ว่าเธอจะพูดยังไงไม่เคยมีผลต่อเขาเลย แซมถอดเสื้อออกแขวนมันไว้ที่ผนังห้อง แล้วนอนลง ซันเดรียได้แต่อ้าปากค้าง “เห้ออ..จริงๆเลยผู้ชายคนนี้ เกิดมาไม่เคยพบไม่เคยเห็น”

      ซันเดรียพยายามดึงขาเขาหวังจะลากลงเตียง แต่มันไม่ขยับเลยสักนิดไม่รู้เพราะเขาตัวหนักเท่าช้างหรือเพราะเธอเองที่ไม่มีแรง ทั้งดึงแขนดึงขา ด้วยความรำคาญแซมเลยดึงกลับ เขาใช้แรงเพียงน้อยนิดก็สามารถทำให้เธอเซแล้วล้มคร่อมทับตัวจนจมูกเกือบชนกัน มันอาจจะเป็นฉากเลิฟซีนได้ถ้ากับละครน้ำเน่าหรือกับคนอื่น แม้ตัวเธอจะแนบชิดเขาแค่ไหนเธอไม่ได้สนใจอะไรเลยนอกจากความโมโหถ้อยคำด่าสารพัดวนเวียนอยู่ในหัว  “หยุดทำตัวเป็นเด็กได้ไหม มันรำคาญ” แซมยังคงหลับตาแล้วพูดด้วยเสียงที่เอือมระอา

      “เอ๊ะ!! นาย...อีกแล้วน่ะ” ซันเดรียเอาปากเข้าไปไกลหูแซมพร้อมตะโกนดัง “รู้ไหมฉันต้องเจ็บกับคำนี้มากแค่ไหน ไอ้ปีศาจบ้า ไอ้น้ำแข็งขั้วโลก ไอ้....”

      ชู่วว... เขาลืมตาขึ้นพร้อมส่งสัญญาณเป็นนัยบอกให้เงียบ แต่เหมือนเธอจะไม่ยอมหยุด เขาเลยพลิกตัวคร่อมทับเธอแทน ซันเดรียยังคงดิ้นไม่หยุดเขาเลยทำท่าจะจูบ จนเธอตกใจเบิกตากว้างแล้วก็นิ่งไม่กระดุกกระดิ๊กทำให้แซมแอบยิ้มนึกขำอยู่ในใจ จากนั้นเขาหันไปหาเป้ที่วางอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งใช้เวทมนต์เปิดกระเป๋าเรียกไอเทมผ้าออกมาคลุมเขาทั้งสองไว้ ไอเทมผ้าที่มีความพิเศษกันมองเห็นจากสิ่งต่างๆกันเสียงได้เขาไม่คิดเลยว่าต้องใช้มันเร็วขนาดนี้จนรู้สึกเสียดายเพราะไอเทมทุกชิ้นสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น จากนั้นมันจะสลายกลายเป็นสสารหายไป

      ชายร่างใหญ่แปลกหน้าปรากฏตัวภายในห้องเดินไปมาทั่วห้องเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่างหรือเขาอาจกำลังตามหาใครอยู่ ซันเดรียกับแซมแอบมองเขาอยู่ใต้ผ้าที่เปิดออกได้เพียงนิดกลัวชายผู้นั้นเห็นทำให้หน้าทั้งสองแนบชิดเพราะเบียดกันอยากรู้อยากเห็น “ถึงชายผู้นั้นจะดูน่ากลัวไปนิด แต่เขาก็เท่ หล่อมากอ่ะว่าป่ะ ฉันให้อภัยได้”

      ชิ!! หล่อตรงไหนกันเชียว หน้าตาก็งั้นๆ

      แซมนึกบ่นอยู่ในใจในขณะที่ซันเดรียยังมองชายคนนั้นด้วยสายตาที่วิ้งเป็นประกาย แซมเลยปิดผ้าจนมิดคล้ายๆจะบอกเธอว่าห้ามมองอีก ซันเดรียรู้สึกขัดใจไม่น้อยหันมาจ้องตาเขาแทนพร้อมแอบบ่นอยู่ในใจ อิจฉาเขาอะดิที่หล่อกว่าสู้เขาไม่ได้ เชอะ!! ผู้ชายแบบนี้ก็มีด้วยหลงตัวเองชะมัด ฉันหลงผิดไปชอบตาเด็กบ้านี่ได้ยังไงเนี่ย

                  “ฉันรู้มียัยแก่กำลังนินทาฉันอยู่” แซมพูดด้วยน้ำเสียงปกติ

                      “หร่อ คงไม่ได้หมายถึงฉันซิน่ะเพราะฉันสาวอยู่ สวยด้วย ไม่แก่” ซันเดรียพูดพร้อมเชิดหน้าสู้ใส่เขา “นายจะอยู่แบบนี้อีกนานป่ะ อย่าบอกน่ะมองฉันใกล้ๆแล้วเกิดหลงเสน่ห์ฉันขึ้นมา” เธอพูดด้วยเสียงที่แผ่วเบาปนความเซกซี่คล้ายยั่วเขานิดๆทำตาปิ้งๆใส่

                      แซมก้มหน้าลงจะจูบ ทำให้ซันเดรียหลับตาปี๋ตัวแข็งทื่อด้วยความตกใจ เขามองเธอแล้วอมยิ้มขึ้นมาแล้วกระซิบข้างหูเธอเบาๆ “ยัยแก่อย่างเธอไม่ได้แอ้มฉันหรอก” สิ้นเสียงแซมปั๊ปซันเดรียเบิกตาขึ้นมากรี้ดทันทีพร้อมมือที่พลักเขาตกเตียงเพียงครั้งเดียวอย่างไม่น่าเชื่อ

       

                      “นายน้ำแข็ง”ซันเดรียเรียกแซมอยู่หลายครั้งแต่เขาไม่ได้หันมาหาเธอตามคำเรียกเลย เธอเลยจำต้องเดินไปหาเขา พอดีแซมเองก็อยากเข้าห้องน้ำเพื่ออาบให้สบายตัวตอนเขายังสามารถที่จะพักผ่อนได้ เพราะเขาคิดว่าอีกไม่ช้าคงมีคำสั่งหรือกฎอะไรก็แล้วแต่ที่เขาและเธอต้องเล่นมันอย่างไม่มีเงื่อนไขโต้เถียงใดๆ ตอนนี้ก็เหมือนลูกไก่ในกำมือใครสักคนที่คุมระบบอยู่

                      แซมเอามือเขาและซันเดรียแตะที่ผนังหน้าห้องน้ำพร้อมกันเพื่อปลดล็อครหัส “โอะ!! อะไรกัน” ซันเดรียยังคงยืนงงอย่างแรงพร้อมเอามือเกาหัวสงสัยเป็นที่สุด แซมยังคงเงียบไม่อธิบายอะไรเช่นเคยเขากำลังก้าวเท้าเข้าห้องน้ำแต่เธอดึงเขาไว้เพราะไม่พอใจ ยังไงซะถ้าเขายังไม่ตอบคำถามถึงข้อสงสัยต่างๆเขาจะไม่มีทางได้อาบน้ำแน่ เธอคิดเช่นนั้น

                      “เธอนี่โรคจิตหรือเปล่า คนโป๊อยู่จะอาบน้ำไม่อายไม่เขินอะไรบ้างเลยเหรอ”

                      “โป๊ตรงไหนกางเกงนายก็ยังอยู่ อีกอย่างนายเป็นคนบอกฉันเอง ว่าฉันเคยเห็นแล้วตาฉันก็ไม่ได้เสียไม่ได้บอดอะไรด้วยใช่ป่ะ ฉะนั้น....”

                      “พอ” ถ้าแซมยังไม่รีบตัดบทเขาคิดว่ายังคงต้องยืนฟังเธอพล่ามอีกนานกว่าจะเข้าเรื่อง

                      “โอ้เค...โอะ” ก่อนที่เธอจะปล่อยมือจากแขนของเขา เธอสังเกตเห็นคล้ายแบตเตอรี่ที่เป็นขีดๆตรงแขน ซึ้งตอนนี้ก็หายไปแล้วขีดหนึ่ง “น้ำแข็งเฒ่า”

                      “เธอนี่มัน”แซมเอือมระอากับคำเรียกของเธอมาก “คือชื่อฉันก็มีแต่เธอก็เรียกมันสารพัดยกเว้นชื่อ มันยากมากหรือไง”

                      “ดูนี้ก่อนซิ แขนนายมีพลังงานอะไรด้วย มันหายไปแล้วน่ะขีดหนึ่ง อีกขีดก็กำลังจางๆ ถ้ามันหมดนายจะตายไหม นายยังตายไม่ได้นะ ต้องพาฉันกลับบ้านก่อน สัญญาซิ นายจะไม่ตายอยู่ที่นี่”

                      แซมมองไปที่แขนเขาแล้วสั่งเธอให้ถอดเสื้อออก “โอะ!! นายจะดูฉันโป๊หรือไง นายไม่ใช่สามีฉันนะ จะมาขอดูแบบนี้ได้ไง ถึงฉันสวยแต่ฉันก็ไม่ง่ายน่ะจะบอกให้”

                      “หยุดเพ้อได้ไหม ยืนแขนมา” แม้จะถอดเสื้อแจ๊คเก็ตหนังออกแต่มันก็ไม่ได้โป๊ตามที่เธอพล่ามไว้เพราะมันก็มีเสื้อด้านในอีกตัว แซมดูตรงแขนเธอปรากฏว่ามีเหมือนกัน แต่เมื่อเธอเปรียบเทียบกับเขาดู “โอะ!! ทวดเฒ่า ทำไมของฉันถึงเหลือสองขีดแล้วอ่า หรือว่าฉันต้องตายอยู่ที่นี้ก่อนนาย ฉันกลัวน่ะ ฉันยังไม่อยากตาย”

                      “หยุดตื่นตูมสักห้านาทีได้ไหม ทำได้ป่ะ ปวดหัว”

                      เหอะ!! คนเรามันก็กลัวความตายกันทุกคนแหละ ไอ้น้ำแข็งขั้วโลก เชอะ ทำมาเป็นเก่งไม่กลัวตาย ลึกๆแอบเข่าสั่นใจสั่นจะระเบิดแล้วละซิ แค่พยามเก็บอาการไว้กลัวฉันเห็นละซิ โด่ววว...

                      “ไม่อนุญาตให้ใครนั่งนินทาในใจ”

                      โอะ!! รู้อีกสงสัยมาโลกนี้กลายเป็นผู้วิเศษไปแล้ว คิดถึงพลังวิเศษเธอนึกขึ้นได้ถึงคำถามที่สงสัยคาใจ ก่อนที่เธอจะไหลออกไปไกลอีก เธอจึงดึงแขนแซมไว้อีกครั้งในขณะที่เขากำลังจะก้าวเข้าไป

                      แซมหันมาหาเธอด้วยอารมณ์ที่เซ็งแบบสุดๆ “อยากเข้าไปอาบด้วยกันหรือไงยัยแก่โรคจิต”

                      “STOP!! อย่าพึ่งพูดเดี๋ยวฉันลืมประเด็นสำคัญอีก เอาแล้วน่ะ ข้อแรก ฉันสงสัย นายเปิดกระเป๋าได้ยังไง ตอบ!!

                      “ดื่มน้ำเวทต์จากไอเทมที่เลือกมา”

                      “โอ้เค ข้อสองอยู่ดีๆทำไมกระจกบ้าหรืออะไรก็แล้วแต่จู่ๆถึงหายไป”

                      “เพราะเธอกับฉันสัมผัสพร้อมกันทำให้มันปลดล็อครหัสผ่าน”

                      “อ่า...แสดงว่าที่นายยืมมือฉันแตะเมื้อกี้ก็เพราะปลดล็อคจะเข้าห้องน้ำว่างั้น แล้วผ้านั้นก็คือไอเทมชิ้นหนึ่งที่สามารถล่องหนได้ โอะ...ฉลาดจริงฉัน สามารถเข้าใจอะไรได้ง่ายมากเลย” เสียงประตูปิดดัง ปัง!! ใส่หน้าเธอ เบื่อที่จะฟังเธอพล่ามทั้งวันอย่างไม่รู้จักเหนื่อย

       

                      ภายในห้องครัวมีอุปกรณ์การทำอาหารครบเซต เปิดดูในตู้ก็มีของที่สามารถประกอบอาหารได้ครบครันถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบเต็มตู้ แม้บางอย่างอาจดูแปลกตาแต่หากกินไปแล้วคงไม่ตาย ไม่เช่นนั้นทางเขาคงไม่จัดมา

                      “นาย...ปีศา”

                      “หยุด มีไร”

                       “แล้วนายรู้หร่อ ว่าของพวกนั้นคืออะไร ต้องกินมันยังไง จริงๆก็ไม่ได้หิวนี่ ไม่จำเป็นต้องกินก็ได้มั้ง เนอะนายคิดเหมือนฉันป่ะ แล้ว...ถ้านายเกิดปรุงไม่ถูกวิธีแล้วมันเป็นพิษอันตรายขึ้นมางี้ โรงพยาบาลที่นี้ก็ไม่มีน่าา...”

                      “บ่นไม่อยากตายไม่ใช่หร่อ ยิ่งเธอพูดมากพลังงานเธอก็ยิ่งหมดเร็ว อีกอย่างถึงแม้เธอไม่หิวก็ต้องกินพลังงานเธอจะได้กลับมาเต็มเหมือนเดิมเข้าใจไหมที่พูดนะ”

                      “เชอะ!! ย่ะพ่อคนเก่ง ทำมาเป็นรู้ทุกอย่าง” เธอเหลือบไปเห็นพลังงานเธอตอนนี้ลดไปอีกขีดหนึ่งแล้ว “โอะ” ตาเธอเบิกกว้างตกใจ พร้อมเชื่อฟังที่แซมพูดทุกอย่างรีบไปนั่งรอเขาที่โต๊ะอาหารทันที

                      จริงๆแล้วในครัวมีจอแสดงเมนูอาหารต่างๆอยู่พร้อมบอกถึงส่วนผสมและวิธีการปรุง เมนูบางอย่างก็มีอุปกรณ์ช่วยผสมปรุงให้ แค่เซตค่าให้ระบบ

                       ใช้เวลาเพียงไม่นานมากอาหารก็ถูกจัดแจงไว้เต็มโต๊ะ มันอาจดูแปลกไปสักนิดที่ผู้ชายต้องมาทำอาหารให้ผู้หญิงกิน จริงๆเธอก็สามารถทำได้เพียงแต่ไม่รู้ภาษา อ่านไม่เข้าใจฟังไม่รู้เรื่อง

                      “ซุปเห็ดเมฆลอย ชื่อดูน่าสนใจดีนะ” ซันเดรียตักเข้าปากไปคำหนึ่ง รสชาติมันอาจแปลกไปนิดแต่มันก็นุ่มลิ้นมาก เห็ดที่เข้าไปในปากมันจะละลายไปเองคล้ายสายไหม ข้าวที่นี้ก็มีน้ำหนักเบาและมีคุณสมบัติเยี่ยมคือสลายซึมแปรสภาพเป็นพลังงานเร็วไม่ทิ้งเป็นของเสีย น้ำดื่มก็ชุ่มคอมาก

                      ทุกๆอย่างที่นี้เหมือนจะคิดค้นให้สมบูรณ์แบบไปซะหมดจนเธอเกือบหลงคิดจะไม่กลับบ้าน ขณะที่เธอกำลังเพลินกับการกิน แซมก็เอ่ยขึ้นขัดจังหวะความสุขเธอ

                      “ไม่หิวไม่ใช่หร่อ”

                      ซันเดรียมองกับข้าวที่อยู่ตรงหน้าอีกทีปรากฏว่าเธอได้กวาดเรียบไปหมดแล้ว ทำให้ตกใจเล็กน้อยในเรื่องหุ่นสวยของเธอ หากยังกินอยู่แบบนี้เธอคงได้กลายเป็นหมูอ้วนกลับโลกมนุษย์แน่

                      “ไม่กลัวอาหารเป็นพิษแล้วหร่อ”

                       ถึงแม้ซันเดรียจะไม่ได้ช่วยอะไรเลยแต่เธอก็ไม่ได้เป็นคนลืมบุญคุณ “คงคิดว่าฉันจะช่วยนายล้างจานใช่ป่ะ โน่ววว... ฉันจะยืนเป็นกำลังใจให้นาย ฉันซุ่มซ่ามน่ะอาจจะทำมันแตกได้ แล้วอาจต้องทำงานหาไอซ์มาชดใช้ค่าเสียหาย”

      สมน้ำหน้าทำฉันเจ็บไว้เยอะ ฉันไม่โง่ช่วยนายหรอกเชอะ!!  “เห็นไหม ฉันกำลังช่วยให้เรากลับโลกเร็วๆ นายต้องขอบคุ...”

                      แซมดันหัวเธอจับกดลงใต้โต๊ะเพื่อหลบคนที่กำลังเข้ามา “เด็กบ้าฉัน...”

                      “ชู่ววว...เงียบๆ” นายสุดหล่อของซันเดรียปรากฏตัวอีกแล้ว พร้อมเหล่าสมุนอีกสามคนซึ้งทั้งสี่คนที่ปรากฏตัวมีหน้าที่เหมือนทุกอย่างเหมือนๆโคลนนิ่งกันมา

                      “รายงานท่าน A026 จากการค้นหาจนทั่วบ้านแล้วไม่พบ ID ใหม่ครับ พบแต่ร่องรอยการใช้งานอยู่สามจุด ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องครัว”

                      “อืม แสดงว่ามี ID ใหม่จริงแต่มันคงรู้ว่าเรามาจึงหลบซ่อนตัวอยู่” พูดธุระกันเสร็จทั้งสี่ก็หายไปกลางอากาศโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้เลย

                      ด้วยความที่อยู่ใกล้กันมากซันเดรียหันเข้าหาแซมอย่างเร็วเพราะมีข้อสงสัยเกิดขึ้นกับเธออีกแล้ว โดยไม่ทันระวังจมูกเธอก็โดนเข้าที่แก้มของแซม เธอนิ่งอึ้งไปชั่วขณะไม่คิดไม่ฝันว่าเธอจะเป็นคนเริ่ม Kiss เขาก่อน  แซมมองหน้าเธออย่างไม่กระพริบตา ถ้ายังส่งสายหวานใส่กันแบบนี้อีกสักห้านาทีคงได้เกิดปฏิกิริยาเคมี ซันเดรียจึงพยายามเรียกสติตัวเองกลับมาให้เร็วที่สุด เธอยังคงมองเขาพร้อยเอ่ยขึ้นเบาๆ “เด็กบ้า...ทำไมนายไม่หลบละ”

                      แซมยังคงหน้านิ่งมองเธอและเงียบไม่เอ่ยอะไร ความเงียบไม่แสดงสีหน้าหรืออารมณ์ของเขา ทำให้ยากต่อการคาดเดาว่า ณ.เวลานั้นๆเขากำลังคิดอะไรอยู่ บางทีเขาอาจคิดว่านี้เป็นข้อดีที่จะป้องกันตัวเขาจากภัยคนรอบข้าง หรือการเลือกพูดน้อยๆแค่สาระสำคัญ อาจสร้างให้เขาดูเป็นน่าเชื่อถือ ดูมีเสน่ห์เป็นผู้ใหญ่ “บางทีฉันอาจจะชอบนายเพราะนายเป็นแบบนี้ก็ได้ แม้นายเงียบไม่เอ่ยอะไรก็ยังสามารถยั่วโมโหฉันได้”

                      “หร่อ”

                      “อือ เวลานายเงียบมันดูน่าค้นหามาก ทำให้ฉันอยากรู้ว่านายกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แล้วนานๆทีถึงจะได้เห็นรอยยิ้ม เวลานายยิ้มมันมีเสน่ห์มากเลยรู้ไหม ยิ้มให้ฉันเห็นบ่อยๆน่ะ”

                      พูดเสร็จเขาก็ยิ้มออกมาให้เธอได้เห็นจริง อาจเป็นเพราะเขาอดขำไม่ได้เวลานั่งฟังเธอพล่ามแต่ละครั้ง

       

                      ไหนๆที่นี้ก็ไม่มีใครรู้จักพวกเขาสักคนคงไม่เป็นไรหากเธอจะให้แซมนอนเตียงด้วยกัน เพราะลึกๆเธอก็รู้ว่าแซมเขาเป็นคนดีมากแต่อาจไม่ค่อยแสดงออกมา ตอนสลบอยู่บ้านแซม เธอก็นอนอยู่ห้องเขาโดยที่เขานั่งเฝ้าทั้งคืน เธอแอบนึกอิจฉาผู้หญิงคนนั้นที่ทำให้เขารักได้โดยไม่ต้องทำอะไรเลย “เธอช่างโชคดีจัง” ซันเดรียเอ่ยเบาๆกลัวแซมตื่นและมองหน้าเขาที่กำลังหลับสนิท

                      ซันเดรียลุกจะไปห้องน้ำก็มีเสียงจากไข่เรือนแสงและบางอย่างปรากฏต่อหน้าเธอคล้ายข้อความเข้าหนึ่งข้อความที่ยังไม่อ่าน ลองกดจิ้มดูมั่วๆกลางอากาศก็มีตาเฒ่าแก่สามมิติจากร้านหนังสือโผล่ออกมา “โอะ!!”เธอฟังไม่รู้เรื่องว่าเขากำลังบรรยายอะไรอยู่จับต้องเขาก็ไม่ได้ “นาย...ทวดเฒ่าตื่นซิ เร็ว ตื่น” เธอเขย่าตัวปลุกแซมให้รีบตื่นมาดู

                      แซมตื่นมาเห็นใครสักคนกำลังบ่นไม่รู้เรื่องเลยเลือกโหมดปรับเปลี่ยนภาษา ในไม่ช้าก็ได้ภาษาคนที่ฟังเข้าใจ

      “...ทางตอนใต้ของแดนเกม ไม่ไกลมาก ไปหามอลโรค์และเข้าพิธีแต่งงานกันให้เสร็จเรียบ...”

      “แต่งงาน”ทั้งสองตกใจเลยเอ่ยออกมาเสียงดังพร้อมกัน ในขณะที่ตาเฒ่าพูดยังไม่ทันจบตัวเขาก็ติดๆดับๆ ได้ยินบ้างไม่ได้บ้างเหมือนมีคลื่นสัญญาณแทรก “...ขอให้ผ่านเกมไปด้วยดี”

      เธอทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “เกมบ้าอะไรต้องแต่งงาน ฉันจิตนาการว่าต้องไปสู้รบกับมังกรอะไรพวกนี้ แบบนั้นซิถึงจะเรียกว่าเกม ไม่ก็เก็บเวล สะสมเวลให้สูงกว่าคนอื่น เห้อ...มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ”

      และเป็นอีกครั้งที่ทั้งสองคนไม่มีสิทธิได้ถามอะไร ผู้ส่งสารก็หายตัวไปเสียแล้ว ทิ้งให้ความงงเดินวิ่งอยู่ในหัวเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถามมากมายที่ต้องหาคำตอบเอง

       

      …………………………………………………………………………………………………………………………………

      #แค่ภาพลวง

                  ทั้งสองเดินไปเรื่อยๆตามเส้นทางที่ไข่ปริศนาหรือไข่เรือนแสงได้บอกเป็นระยะๆ เดินผ่านท่ามกลางสายตาพวกสัตว์ที่มองมายังกับเขาสองคนคือตัวประหลาด จนมาถึงสถานีรถไฟขบวนสายใต้ก็มาพอดี ทั้งสองรีบขึ้นขบวนโดยไม่ลังเลหวังจะทำภารกิจบ้าบอที่ได้มาให้สำเร็จเร็วๆจะได้กลับโลกมนุษย์สักที

      รถไฟวิ่งด้วยความเร็วสูงแค่เสี้ยววินาทีก็สามารถพามาที่ สถานีมิราสลิน ทันทีที่ลงจอดสถานี แซมก็รีบเดินไปเลยโดยไม่สนใจจะรอเธอแม้แต่น้อย “เห้ย..รอก่อนดิ รีบไปไหนอ่ะนั่นมันไม่ใช่ทางที่เราต้องไปน่ะ ตาเฒ่า” เธอตะโกนเรียกยังไงแซมก็ยังคงวิ่งไปไกลเรื่อยๆ เหมือนกำลังพยามจะตามหาใคร จนเธอต้องรีบวิ่งตามแซมไปไม่งั้นคงได้หลงทางกันแน่

       

      “มิริน” สิ้นเสียงเรียกเขาคนนั้นก็หันมา “แซม” คนนั้นทักกลับมาเหมือนทั้งสองนั้นรู้จักกันดี และทันทีที่ซันเดรียวิ่งมาถึงด้วยความเหนื่อยหอบ เธอเงยหน้ามองผู้หญิงข้างหน้าแล้วสมองก็ฉายภาพย้อนหลังไปหยุดตรงภาพใบนั้น ใช่เลย เธอจำได้ จำได้ดีเลยทีเดียว คนที่เขารอมาหลายปี สุดท้ายก็เจอกันจนได้ แต่มันใช่เวลาสานความสัมพันธ์หร่อ...

      “นาย...เด็กบ้า ยังไงเราก็ต้องทำภารกิจให้เสร็จก่อนน่ะ ไม่งั้นไม่ได้กลับบ้านน่ะ ลืมแล้วเหรอ”

      “เพื่อนแซมหร่อ” หล่อนแทรก “แซมจะกลับไปทำไม ในเมื่ออยู่ที่นี้ก็ดีแล้วไม่ใช่หร่อแซม เราจะได้อยู่ด้วยกันไง”

      ซันเดรียเห็นแซมเดินจากไปต่อหน้าต่อหน้าเข่าแทบทรุด ทั้งเจ็บ ทั้งทรมาน แต่เธอจะทำอะไรได้ เพราะสิ่งนั้นคือสิ่งที่เขารอมานาน เพื่อจะได้เจอ แต่เมื่อเธอมองไปอีกรอบกลับเห็นว่านั่นมันคือปีศาจ ที่แซมเห็นแค่ภาพลวงตา

       

                      ซันเดรียแอบตามไปทุกทีเพื่อหาโอกาสช่วยแซม แม้ตัวเองจะเจ็บมากแค่ไหนก็ตามที่เห็นคนรักไปมีความสุขกับคนอื่น ถึงจะรู้เป็นแค่ภาพลวงตาแต่ในความคิดเธอมันคือแซมกับมิรินคนที่แซมชอบและรอเขามาตลอด

                      เธอตามทั้งสองไปเรื่อยๆจนมาถึงถ่ำเหม็นๆ แต่ในภาพที่แซมเห็นคงเป็นเหมือนแดนสวรรค์ เธอคิดแบบนั้น ไม่เช่นนั่นแซมคงไม่ยิ้มเหมือนโดนสะกดจิตแบบนี้ “หรือว่า..จะโดนเข้าแล้ว”

                      ได้เวลาช่วงแซมหลับนางปีศาจได้ลูบขึ้นลูบลงไปตามตัวแซมเห็นแล้วขนลุกไม่น้อย ไม่ช้าเขี้ยวก็งอกขึ้นมา เตรียมจะกัดซอกคอ เธอทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว

                      “หยุดน่ะ แกไม่ใช่มิริน” รวบรวมความกล้าสุดชีวิต แม้ข้างในจะสั่นไปหมดแล้วก็ตาม

      นางปีศาจหันมาจ้อง ตาหล่อนเปลี่ยนเป็นสีแดงดูน่ากลัว “เขาเป็นของข้า ใครห้ามยุ่ง เจ้าใจกล้าดีนี่คิดว่าจะสู้ข้าได้หร่อเจ้ามนุษย์ผู้อ่อนแอ”

      “คนธรรมดาให้ไปสู้กับปีศาจใครบ้างจะไม่กลัวก็เรื่องธรรมดา แต่เขามากับฉัน เราต้องกลับไปพร้อมกัน ฉันไม่ทิ้งเขาไว้ที่นี้แน่ แกต้องการอะไรบอกมาเลยดีกว่า”

      “ข้าต้องการเขา เจ้าก็รู้แล้วนี่ แล้วเจ้าจะมาสนใจเขาทำไม ในเมื่อเจ้าเองก็รู้เขาไม่ได้สนใจเจ้า”

      “ไม่รู้แหละ แกจะเอายังไงนางปีศาจ ถึงจะปล่อยเขามา”

      “ดวงชีวิตของเจ้า เจ้ายอมแลกมั้ยล่ะ” หล่อนเดินมาหาเธอพร้อมกรงเล็บที่ยาวมากดเบาๆบนใบหน้ากรีดจนเลือดออกซิปเล็กน้อย “คิดให้ดีๆน่ะสาวน้อย จะเอาชีวิตเจ้าไปแลกกับใคร คิดดูดีๆมันคุ้มหรือเปล่ากับสิ่งที่เจ้ากำลังจะทำลงไป ”

      จะว่าไปแล้วเธอเองก็ไม่รู้ว่ามันคุ้มหรือเปล่า กับที่ผ่านมา แซม ได้ทำเธอเสียใจไม่น้อย แต่ถึงยังไงเธอก็ยังรักเขา เกรียดมากแค่ไหนก็ไม่อาจเห็นคนที่รักโดนทำร้ายต่อหน้าต่อตาได้

      ซันเดรียนอนลงบนแท่งบูชา ใจที่เต้นแรงด้วยความหวาดกลัวแต่ก็ได้ตัดสินใจไปแล้ว สายตาที่มองไปยังแซมที่กำลังหลับใหลไม่รู้เรื่องอะไร กว่าแซมจะฟื้นขึ้นมาเธอคงจากโลกไปแล้ว “ลาก่อน...ขอให้นาย..ได้กลับบ้านอย่างปลอดภัย”น้ำตารินไหลอาบแก้มโดยไม่ตั้งใจ เธอหลับตาลงพร้อมใจที่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ “ลงมือเลย ฉันพร้อมแล้ว”

      ในขณะที่นางปีศาจกำลังถ่ายเทดวงวิญญาณ ไข่เรือนแสงในตัวแซมก็เปล่งแสงพร้อมสั่น วิ่งไปมารอบตัวเขาส่งเสียงรบกวนระบบประสาทเขาจนแล้วสุดเขาก็ตื่นขึ้นมา เห็นซันเดรียนอนอยู่หมดสติ ดวงวิญญาณกำลังถ่ายเทยังไม่หยุด แม้เขาจะไม่ค่อยรู้เรื่องว่าอะไร ยังไง แต่ดูท่าจะไม่ดีแน่ เขารีบคลาน พยามเดินไปหาเธอ ล้มบ้างเพราะไม่มีแรง ไม่รู้เรี่ยวแรงหายไปไหนหมด “หยุดน่ะ แก ทำอะไรเธอ” นางปีศาจแปลงโฉมหันหน้ามาหาเขาเป็นหน้ามิริน “แซม คุณทำอะไร” แซมมึนๆและงงเป็นที่สุด

      “มิริน” แซมพยามลำดับเหตุการณ์ แต่ภาพติดๆขัดๆไม่ชัดเจน “เดีย” มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาหันไปหามิริน พร้อมข้อสงสัย “มิริน คุณทำอะไรเธอ ทำไมเธอไม่ตื่น”

      “จะสนใจนางทำไม คุณไม่ได้รักเธอนี่” นางปีศาจหัวเราะดัง แล้วพูดต่อ “หลีกไป พิธีข้ากำลังจะเสร็จ มาขัดตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว ดวงวิญญาณครึ่งหนึ่งของนางอยู่ในตัวข้าแล้ว ฮ่าา..” พูดเสร็จนางปีศาจก็เริ่มพิธีต่อ

      ใช้ไอเทมอะไรดีจะหยุดปีศาจตนนี้ได้ แต่ก่อนอื่นต้องทำให้ตัวเองมีเรี่ยวแรงก่อนซินะ ดาบปลายเพรช ชิเมร่า ใช้อันนี้แหละ มีพลังการทำลายล้างสูง เพียงแตะยังสสารนั้นก็จะสลายไปในทันที

      นางปีศาจใจจดใจจ่อกับสิ่งตรงหน้าโดยไม่ได้สนใจแซม หวังพิธีจะเสร็จโดยเร็ว หากได้ดวงชีวิตมนุษย์ผู้นี้จะช่วยต่อชีวิตนางได้อีก สองพันปี และคือโอกาสดีที่แซมจะแทงเข้าข้างหลังทะลุหัวใจ ทำให้นางปีศาจกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนนางจะสิ้นลมหายใจ นางได้เอ่ยคำลา “เจ้ามนุษย์ผู้โง่เขล่า เหตุใดเจ้าไม่รักไม่รักษาคนที่อยู่ตรงหน้า แต่กลับไขว่คว้าคนในอากาศ นางยอมตา....” พูดไม่ทันจบร่างนั้นก็สลายหายไป

      และเมื่อเวทมนต์เสื่อมหายไป ที่นี้ก็เป็นแค่ถ่ำเน่าๆที่มีแต่ซากกระดูกเต็มไปหมด ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว จนแซมทนไม่ไหวต้องแบกซันเดรียและหาทางออกจากถ่ำ “เจ้าไข่วิเศษ เจ้าฟังรู้เรื่องไหม พูดได้หรือเปล่า ช่วยบอกได้ไหม จะทำยังไง เธอถึงจะฟื้นขึ้นมา ”

       

      แซมมองไปที่พลังงานของเธอเหลือเพียงแค่ขีดเดียวและจางเต็มที แต่ภารกิจยังต้องดำเนินต่อไป เขาพาเธอมาถึงป่ามีชีวิต ที่จะเคลื่อนเปลี่ยนตำแหน่งตลอดเวลา ทำให้เกิดเสียงดังไปทั่วพื้นป่า หากเดินเข้าไปคงไม่มีวันได้ออกมาแน่ แต่มันคือทางผ่าน มีแค่ทางเดียวที่ต้องผ่านไปให้ได้ “เพื่อ...ภารกิจของเรา แต่งงาน ” แซมวางเธอลงตรงปากทางเข้า

      “คิดแล้วตลกดีน่ะ อยู่ดีๆก็ได้รับภารกิจให้ต้องแต่งงาน รีบตื่นมาน่ะ ไม่มีเสียงเธอเหงาเป็นบ้า หวังว่าถึงแกนดรีนเมื่อไหร่ คงหาคำตอบได้ ว่าคนคิดเกมบ้านี้ ทำไปทำไม ”

      ภายในป่าที่รกและมืดเต็มไปด้วยหมอกควันสีเขียว ดูแล้วไม่น่าเยียบเท้าก้าวเข้าไปสักนิด สิ่งที่ไม่คาดคิดเมื่อก้าวเข้าไป บรรดากิ่งไม้เถาวัลย์จับทั้งสองแยกจากกัน ส่งเขาและเธอผ่านต่อๆไปทีละตนจนเข้าใจกลางป่า ช่างเป็นป่าที่สวยงามดังเนรมิตขึ้นมา ทั้งภูติสัตว์ตัวเล็ก ภูตินางฟ้าตัวจิ๋ว บินวอนเต็มไปหมด ที่แห่งนี้มีแต่เสียงหัวเราะ

      ในไม่ช้า ทั้งสองถูกทิ้งลงน้ำสีฟ้าใสมากจนแสงอาทิตย์สามารถส่องจากผิวน้ำไปจนถึงก้นบึ้ง แซมว่ายหาซันเดรียพยามว่ายขึ้น แต่น้ำกลับไหลวนพาพวกเขาทั้งสองกลืนหายเข้าไป มารู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ในที่แห่งใหม่อีกแล้ว เขานอนอยู่บนเตียงภายในห้องใครสักคน และเสียงฝีเท้านั้นกำลังเดินมาห้องนี้ เขาจะทำยังไงหากคนที่เดินมาเป็นคนร้าย อุปกรณ์ป้องกันตัวก็ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย

      “อย่าได้กลัวเลยท่าน ข้าเตรียมชุดให้แล้ว ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแล้วเตรียมเข้าพิธี”

      “พิธีอะไร”

      “ท่านมาเพื่อแต่งงานไม่ใช่หร่อ” ได้ยินเช่นนั่นแล้วแสดงว่าเขามาถึงแกนดรีนแล้ว แล้วซันเดรียล่ะ!? ตอนนี้เธอฟื้นหรือยัง “เอ่ออ..คือ”

      “ผู้หญิงของท่าน เราได้ช่วยนางไว้แล้วและจะช่วยไว้ได้เพียงชั่วคราว นางคงได้โดนแบกีร่าปีศาจพันปีดูดวิญญานไป แต่ปกตินางจะดูดแต่วิญญาณชาย ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจะมีเหยื่อที่เป็นผู้หญิง”

      “นางคงช่วยข้ามั้ง ” พูดเสร็จหญิงคนนั้นก็เดินออกจากห้องไป

      เดียยอมแลกชีวิตเพื่อฉัน เธอทำขนาดนั้นเลยหร่อ ยัยโง่เอ้ย ช่วยฉันทั้งที่ฉันเดินไปหาคนอื่น แซมคิดไปแต่งไป จริงๆแล้วเขาเองก็รู้ตื่นเต้นอยู่เหมือนกัน ที่จะได้แต่งงาน แม้จะเป็นแค่เกมก็ตาม

       

      “เจ้าสาวมาแล้วท่านมอลโรค์” วินาทีนั้นแซมหันมามองเธออย่างไม่กระพริบตา พร้อมส่งสายตาอันหวานฉ่ำ ผิดกับซันเดรียเหมือนจะไม่ได้ตื่นเต้นอะไรเลยกับการแต่งครั้งนี้

      แซมเดินมารับเจ้าสาวด้วยมือสั่นตื่นเต้นสุดๆเพราะนี้ก็คืองานแต่งครั้งแรกของเขาไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ พาเจ้าสาวมาหน้ามอลโรค์เสร็จ ก่อนจะรับปากทำพิธีแต่งงานตามธรรมเนียมประเพณีคนที่นี้ เขาก็อยากถามถึงข้อสงสัยต่างๆให้กระจ่าง

      “ข้อแรกเลยละกัน ทำไมถึงจับเราสองคนมาเล่นเกมแต่งงาน”

      “คงจะเคยได้ยินมา คู่กันแล้วคงไม่แคล้วกัน เกมเราที่สร้างขึ้นก็แค่สร้างความมั่นใจให้ทั้งคู่ ให้ได้แน่ใจในความรู้สึกของตัวเอง คนเราเมื่อผ่านความยากลำบากถ้าไม่รักกันจริง ไม่มีใครยอมแลกชีวิตตัวเองเพื่อคนอื่น ทุกชีวิตบนโลกต่างก็รักตัวกลัวตาย หรือเจ้าว่าไม่จริง”

      “แล้วการแต่งงานเกี่ยวอะไรกับความลำบากหรือบททดสอบ”

      “แต่ละคู่ที่เราคัดเลือกมา จะได้รับภารกิจต่างกัน แต่เจ้ายังคุมตัวเองได้ไม่ดีพอ เจ้ายังไม่หนักแน่นจนหลงภาพมายาลวงตา เดินออกนอกทางเราที่กำหนดไว้ จนได้พบแบกีร่า”

      “ทำไมท่านไม่ช่วยเราล่ะ ในเมื่อท่านคือคนที่เลือกเรามายามเรามีภัยใยท่านนิ่งเฉยจนเราเกือบตาย”

      “ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบ ID พวกเจ้าแล้วว่ามาถึงหรือยัง แต่เจ้าคงใช้มนต์อำพรางลูกน้องข้า ถึงได้ไปหาแล้วไม่พบ ID เจ้าทั้งสอง สัญญานติดขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเจ้าเดินตามทางที่กำหนด ตอบไปเยอะแล้วน่ะ เริ่มได้หรือยัง ”

       

      หลังจากแต่งงานกันเมื่อเข้าห้องหอ แซมเห็นซันเดรียแปลกไป ไม่เหมือนคนเดิมที่เคยรู้จัก ไม่โต้ไม่เถียง ไม่เอออออะไร “เดีย เป็นอะไรป่าว” เขาเอามือแตะหน้าผากเธอ “ตอนนี้รู้สึกยังไงบ้าง สลบไปหลายวัน ยังโอเคดีใช่ป่ะ ฮ่าา.. ”

      หญิงคนเดิมเคาะประตูเอาอาหารเช้ามาเสริฟ “ตอนนี้ดวงวิญญาณของนางเหลือเพียงครึ่งเช่นเดียวกับใจนาง หากท่านช่วยฟื้นความทรงจำ นางจำทุกอย่างได้หมดเมื่อไหร่ ตอนนั้นใจของนางถึงจะกลับมาเต็มอีกครั้ง”

      “เดีย ผมขอโทษ” แซมน้ำตาไหลต่อหน้าเธอเป็นครั้งแรก ซันเดรียเห็นแล้วเอามือปาดให้

      “นายเป็นอะไร ร้องทำไม กินมั้ยเดี๋ยวป้อนให้น่ะเจ้าบ่าวสุดหล่อของฉัน”

      ยิ่งแซมเห็นรอยยิ้มอันใสบริสุทธิ์ แซมยิ่งคุมน้ำตาตัวเองไม่ไหวดึงเธอเข้ากอดแน่น “ผมขอโทษน่ะเดีย ใจอีกครึ่งดวงของคุณถ้าเป็นไปได้ เอาของผมไปก็ได้ถ้ามันจะทำให้คุณกลับมาเหมือนเดิม เพราะตอนนี้ใจทั้งใจของผมอยู่ที่คุณหมดแล้ว”

      เกิดแสงประหลาดเปล่งออกมารอบตัวเข้าทั้งสองคนในไม่ช้า แซมก็ถูกถีบลงจากเตียง “ไอ้เด็กบ้า...มาอยู่บนเตียงกับฉันอีกแล้วน่ะ”

      “เดีย”

      “อะไรเรียกชื่อฉันอยู่ได้ ว่าภารกิจแต่งงานบ้าบอ เราจะสำเร็จเมื่อไหร่อ่าา...อยากกลับบ้านแล้วน่าา”

      แซมยิ้มตะโกนเสียงดังพร้อมอุ้มเธอขึ้น พาวิ่งลงห้องไปที่ทุ่งหญ้ากว้าง อากาศเย็นสบาย เสียงลมพัด เสียงคลื่นทะเล เสียงน้ำตก ประสานกันอย่างลงตัวช่างไพเราะจนไม่อาจหาที่เปรียบได้

      ทั้งสองนอนลงบนพื้นหญ้าที่นุ่มดังสำลี แซมจับมือเธอชูขึ้น “ดูซิ ที่นิ้วเราสองคนมีอะไร ” เธอมองอย่างแปลกใจ ทั้งการกระทำของแซมก็ดีกับเธอผิดปกติ กินยาผิดขวดป่ะเนี่ย

      “รู้น่ะ มียายแก่กำลังนินทาอยู่ในใจ”

      “นาย... เชอะ...ฉันไม่ใช่ยายแก่”

      “ผมก็ไม่ใช่ตาเฒ่า” เขาจับแก้มเธอหันเข้าหาเขา พร้อมยิ้มให้ “เราแต่งกันแล้วน่ะยายแก่”

      “ปอยย เจ็บนาเด็กบ้า”

      “ยายแก่คนนี้น่ารักจัง”

      “สติสมงสมองยังอยู่ครบป่ะเนี่ย กลัวน่ะเนี่ย”

      “ถ้าวันนั้นเธอไม่ช่วยฉัน ฉันคงไม่ได้อยู่บ้าให้เธอเห็นวันนี้”

      “แหวะ เน่า”

      มีความสุขกันได้ไม่นาน เสียงขบวนรถไฟก็ดังมาจากไกลๆ แล้วก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนมาจอดตรงหน้ามันคงได้เวลากลับบ้าน ในเมื่อภารกิจก็เสร็จสิ้นแล้ว

       

       ส่งตัว ID 0102 และ ID 0103 ถึงโลกมนุษย์เรียบร้อย โปรดตรวจสัมภาระของท่าน ขอให้โชคดี..

       

      เพื่อนๆที่มหาลัยต่างแปลกใจที่จู่ๆทั้งสองคนมาเรียนพร้อมกันแล้วยังนั่งเรียนใกล้กัน เรื่องเด็ดประเด็นร้อนขนาดนี้ ชาวซุบซิบทั้งหลายไม่พลาด เรียนเสร็จปุป อาจารย์ก้าวเท้าออกจากห้องปัป ไทยมุง

      “ว่าไงๆๆๆๆ  อีเดีย อีแซม ตกลงยังไง บอกเจ้มาด่วนๆ ประเด็นนี้ต้องเคลียร์”

      “ก็ไม่มีอะไรเนอะ”

      “ตกลงใช่ ใช่ป่ะ” เบลแทรก

      ทั้งแซมและซันเดรียพยักหน้าและตอบพร้อมกัน “อืม”

      หลังจากนั้นเพื่อนๆทั้งห้องต่างก็กรี้สสสสสสสสสสส จิ้นกันทั้งห้อง ทั้งตกใจและดีใจ โดยเฉพาะเพื่อนในแก๊ง งง กันเป็นแถวที่เมื่อวานยังทะเลาะ วันนี้กลับตกลงเป็นแฟนกัน หารู้ไม่กว่าจะตกลงกันได้ต้องผ่านอะไรมาบ้าง เพราะเวลาได้หยุดเดิน แต่เมื่อออกจากโลกมิติเวลาทุกอย่างบนโลกมนุษย์ก็กลับมาเดินเหมือนเดิม

       

      วันนี้เธอแต่งตัวสวยเป็นพิเศษเพราะเป็นการเดทครั้งแรก ระหว่างเธอกับแซม เธอออกมารอแซมที่สนามเด็กเล่นตามที่ได้นัดกันเอาไว้ ทั้งดีใจและตื่นเต้น ไม่คิดไม่ฝันว่าเธอจะมีวันนี้

       

      ตลิ้นๆๆ

      ข้อความเข้า  แซม มิรินกลับมาแล้วน่าา..วันนี้เราเจอกันป่ะ ไม่ได้เจอกันนาน คิดถึงจัง

      ครู่หนึ่งก็มีเสียงเรียกเข้าจากเบอร์ที่ไม่คุ้นเคย “ไฮ แซม สบายดีมั้ย ”

      “อืม สบายดีกลับมาแล้วหร่อ”

      “อืม กลับมาวันนี้วันแรกก็นึกถึงแซมเลย ไม่ได้เจอกันนานอ้วนขึ้นป่ะเนี่ย”

      “คือ...วันนี้เรา”

      “อย่าบอกน่ะว่าจะไม่มา เรามีของมาฝากด้วย รับรองแซมต้องชอบแน่ ดังนั้นต้องมา จะรอน่ะ ที่เดิม เครน่ะ บาย”

      ตูด ตูด ตูด ...

       

      4 ชม.ผ่านไป ฝนเริ่มจะตก ซันเดรียพยามต่อสายโทรไปก็ไม่รับ จนเธอเริ่มน้อยใจ “คิดอยู่แล้วต้องเป็นแบบนี้ เจ็บจัง เมื่อไหร่ฉันจะจำสักที”

      เมื่อหัวใจของเธอเจ็บแน่นอนแซมก็รู้สึกเจ็บไปตามกัน เพราะตอนนี้ใจของทั้งสองประสานกันอยู่ “โอะ”

      “แซมเป็นอะไรหรือเปล่า ”

      “เดีย”

      “ห๊ะ ใครหร่อ..”

      “มิริน ผมให้เวลากับคุณได้แค่นี้ ผมต้องไปก่อน ใจของผมกำลังเจ็บ” แซมทิ้งมิรินให้งงอยู่แบบนั้น ส่วนตัวเขารีบไปหาซันเดรียทันที เขาสัญญาไว้แล้วต่อไปนี้จะไม่ทำให้เธอต้องเจ็บอีก สิ่งที่มีค่าที่สุดอยู่ข้างๆเขาแล้ว เขาจะไม่ยอมเสียไปเด็ดขาด

       

      เมื่อมาถึงสนามเด็กเล่นซันเดรียก็ไม่อยู่แล้ว เขาวิ่งหาไปทั่ว ฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก ทั้งตะโกนเรียกและวิ่งหาไปทั่วสวนแถวนั่นก็ไม่เห็นวี่แวว เห็นเบอร์ที่โทรเข้ามาเป็นสิบๆสายรู้ได้ทั้งทีว่าเธอคงกำลังเจ็บน้อยใจอยู่แน่นอน

      “เดีย ผมขอโทษ คุณอยู่ไหน”

      แม้จะโทรไปยังไงก็ไม่มีการตอบรับจากปลายทาง จนเขาเสียใจเอามากกับสิ่งที่ได้ทำลงไป เขาทรุดลงร้องไห้เป็นครั้งที่สองท่ามกลางสายฝน มือทุบพื้นจนโคลนเลอะมือไปหมด สุดท้ายมีเท้าคู่หนึ่งมายืนตรงหน้า

      “เดีย” เขาเงยหน้ามองขึ้น แล้วรีบลุกขึ้นโผกอดเข้าทันที

      “คุณทำแบบนี้ทำไม ทุกอย่างมันจบแค่ในแดนเกมใช่ไหม นายไม่ได้รักฉันแล้วจะคบกับฉันทำไม”

      “ไม่เดีย ไม่ใช่แบบนั้น”

      “หรือเป็นเพราะ ความจำเป็น ที่ใจเรา ผูกติดกัน ใช่มั้ยแซม”

      “เดีย ผมเสียใจที่ทำให้คุณเสียไม่เลิก ผมไม่รู้จะขอโทษยังไง แต่ผมอยากให้คุณรู้ไว้ ผมรักคุณ รักจริงๆ ตอนนั้นในแดนเกม วันที่เราได้แต่งงานกัน คุณรู้ไหมผมตื่นเต้นมาก ผมไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่ามันคือเกม”

      สายฝนยังคงตกหนักเรื่อยๆ เธอได้แต่เงียบเพราะรู้สึกว่าที่ผ่านมา เธอได้พูดมามากพอแล้ว เธอเหนื่อยเต็มที

      “ขอโอกาสผมอีกสักครั้งน่ะ ให้ผมได้แก้ตัว”

      เขากอดเธอไว้แน่น พร้อมเอ่ยเบาๆ “อย่าไปไหนน่ะ อยู่ข้างๆผมวันนี้และตลอดไป..”

      เธอมองหน้าเขาสักพักแล้วเอ่ยถาม “คุณรักฉันจริงๆใช่มั้ย”

      “รัก เธอ น่ะ ยาย แก่ เฒ่า...”
              ...............................................................................................................................................................................
                                                                                   จบ

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×